Ads

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

การผจญภัยกับคุณยาย

    อารัมภบทไปแล้ว แต่ยังไม่ได้แนะนำตัวละครเลย ใช่แล้วครับ ผมจะร้อยเรียงให้เป็นเนื้อเรื่อง นอกจากจะน่าติดตามแล้ว จะยังทำให้ได้ศัพท์ใหม่ๆ โดยไม่เบื่อเลย เอ้า หล่อน แนะนำตัวสิ
    "สวัสดีเพคะ ข้าน้อย ชื่อ วา ฉายาตาชิด หรือก็คือ "ฉัน" ในบทที่แล้วนั่นเองเจ้าค่ะ ส่วนนี่คุณยาย เป็นตัวประกอบอดทน ฉะนั้นจะข้ามการแนะนำตัวไปเลย"
    เอิ่ม นิสัยดีมากน้อง งั้นเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดติดตาม

    หลังจากลากคุณยายที่ได้กลายมาเป็นพวกแบบเต็มใจหรือเปล่าก็ไม่รู้ ออกมาจากโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองก็พากันเดินทางต่อไป เพื่อไปแห่งหนตำบลใด ก็ไม่อาจจะทราบได้ ในพื้นที่หิมะขาวโพลนไปทั่วนั้นเอง ทั้งคู่ก็เห็นอะไรขาวๆ บางอย่างอยู่ไกลลิบๆ เอ้าวิ่งเข้า วิ่งไปดูว่า มันคืออะไรกันแน่
    "นี่มัน อ่างอาบน้ำ" โอ้ว อ่างอาบน้ำท่ามกลางหิมะ ใครหนอช่างกล้าหาญชาญชัยเสียนี่กระไร แล้วจู่ๆ มันก็โผล่ขึ้นมา
    "อุว๊ากกกกกก!" อาหนวดจิ๋มคนหนึ่งพุ่งขึ้นมาจากก้นอ่าง กระโดดตีลังกาหนึ่งรอบ ลงอ่างอย่างสวยงาม น้ำอุ่นกระจาย ซ่านกระเซ็น ไอร้อนแผ่กระเจิดกระเจิง แสงแดดสองสว่างโดดเด่นเหมือส่องลงมาจากสรวงสวรรค์
    "เฮ้ยแม่หนูนี่" อาหนวดจิ๋มในอ่างอาบน้ำ (จริงๆ แกคงอาบแดดมาก่อน ตัวดำเป็นมะเขือเผาเชียว) มองมาทางเธอ อาเอานิ้วมาบี้รูจมูกเธอด้วยสีหน้าฟิน
    "รูจมูกใหญ่ๆ แบบนี้ขยี้มันดีจริง" ว่าแล้วอาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดพฤติกรรมก้าวร้าว ทันใดนั้นเอง
    "ผั๊ว!" ยายตัวประกอบ (เน้นนะครับว่าตัวประกอบ) ก็เอาผ้าใบเต๊นท์มาจากร้านขายของเล็กๆ ใกล้ๆ (มีด้วยเรอะ) แล้วยายก็พูดว่า
    "แกน่ะ เป็นผู้ใหญ่เสียเปล่า ทำไมทำตัวแบบนี้" ยายพูดด้วยสีหน้าฉุนเฉียว แล้วว่าต่อ
    "ทำไมไม่เอานิ้วล้วง*ูด ก่อนแล้วค่อยเอามาจิ้มจมูก" ทันทีที่สิ้นประโยคนี้ เธอก็ค่อยๆ บรรจงแสดงมารยาทอย่างเรียบร้อย บรรจงตีนฉันอันโตๆ ไปที่....... ข้อพับเข่ายาย (ผมรู้นะคุณแอบคิดโหดกว่านั้น)
    แต่...... แต่อนิจจา ยายล้มลงหัวไปฟาดกับฐานบันไดขึ้นอ่าง และที่ฐานบันไดนั่น มีโจทย์ปัญหากวนส้น*น แปะอยู่
    บนกระดาษ มีรูปควายโง่ๆ ตัวหนึ่ง และมีช่องคำพูดว่า
    "จงทำรูปนี้ให้เป็นกุ้ง"
    "ไอ*" เธอ พูดคำศัพท์ออกมาอย่างอัตโนมัติ ป้าชะโงกหน้ามาดูพอดี พร้อมกับหยิบจะดาษไปจากมือ พร้อมกับพูดว่า
    "เอ๊ บิ" แล้วกระดาษก็แคว่ก 
    "นั่นมันฉีกแล้ว ไม่ใช่บิ" แต่สิ่งที่โผล่ออกมาจากกระดาษที่ฉีก ก็คือ "กุ้ง" อย่าถามว่ามาไง คนแต่งก็งง สงสัยป้าแกเล่นกล
    หลังจากเล่นกล เอ้ย แก้ปริศนาได้แล้ว ก็มีกระดาษอีกใบแปะอยู่ที่หางกุ้ง เขียนว่า
    "อย่ากินกุ้ง" ทันทีที่น้องวาอ่านจบ เธอก็พบว่าป้าแกเสกกุ้งเข้าท้องเรียบร้อยแล้ว
    "บ้าาาาาาาา" สงสัยเธอจะบอกว่าป้าแต่พูดไม่ชัด
    และแล้วสิ่งซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น
    "ปุ้ง!" ผ้าอ้อมยี่ห้ออันๆ ที่ยายใส่อยู่ฟูฟ่อง และตุงขึ้นทันที พร้อมกับมีรังสีเหลืองแผ่ซ่าน ป้าแกก็ทำสีหน้าแบบกลืนไม่เข้า คายไม่ออก มันติดเป็นหนอกๆ อยู่ในกุงเกง
    "อี๋ อย่าเข้ามาใกล้นะ ไปไกลๆ" สิ้นคำ ป้าแกก็พุ่งไปไกลราว 100 เมตร เกือบถึงขอบหน้าผา
    "เฮ้ย ไม่ต้องไปไกลขนาดน้าน อันตรายยยย"
    ขณะที่ป้าแกกำลังจะกระโดดพุ่งหลาวลงไปนั้น ก็ประกฏชายหนุ่มรูปงามหน้าบูดเหมือนตูดลิงคนหนึ่งมาดึงตัวป้าไว้
    พอมองไปยังอีกฝากหนึ่งของหน้าผา ก็มีหมู่บ้านโคโนฮะ ซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นรูปใบไม้ตั้งอยู่ และคนที่ช่วยป้าไว้ก็คือ
    "อุจิวะ ซาสุเกะ แกมาโผล่เรื่องนี้ได้ยังไง จะมาแย่งซีนงั้นเรอะ" หล่อนตะโกนออกไปเพราะกลัวหนุ่มบ้านล้อ (เนตรวงแหวน) 
    "ฉันแค่เป็นเหยี่ยวพเนจรที่บินผ่านทางมา" แล้วก็พลักป้าเป้าเหลืองมาทางวา "ดูแลป้าแกให้ดีล่ะ" แล้วเขาก็จากไปกับสายลมเหม็นโฉ่จากของเสียของป้า
    "อี นี่ก็กระเพาะมีปัญหาหรือไง เจอของกินนี่จับยัดเข้าปาก"
    ขณะที่วุ่นวายกับป้า เธอไม่รู้สึกตัวเลยว่าสภาพรอบตัวของเธอตอนนี้เป็นป่าไปหมดแล้ว ป้าเริ่มพุ่งตัวออกไปอีกครั้ง
    "แตงโมมมมม จะต้องไปให้ไกลแตงโม" ป้าเริ่มพูดอะไรพิลึกๆ อีกครั้งหนึ่ง ทิศทางตรงกันข้ามกับที่ป้าวิ่ง มีแตงโมเต็มไปหมด
    จะวิ่งหนีทำไมแตงโม? แตกโมระเบิดดังโพละ มีผลมันฝรั่งมากมายกระจายออกมา และทันทีที่ผลมันฝรั่งกระทบพื้น
    "บรึ๊ม!!!!" พื้นระเบิดและกลายเป็นช๊อคโกแลต
    "เย้ย ระเบิดมันฝรั่งตราโกโก้ครันช์" จะชื่อยาวไปไหน ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เธอเร่งสปีดติดตีนหมาตามคุณยายไปติดๆ แต่ด้วยแรงระเบิดส่งกันต่อเนื่องของระเบิดมันฯ ทำให้มีระเบิดมันฯ กระเด็นมาเยื้องเบื้องหน้าเธอไปประมาณ 10 เมตร และ
    "หวี่ๆๆๆๆ" อ้าว ทำไม พอมองดูระเบิดมันฯ กระจายออกกลายเป็นฝูงยุงพุ่งเข้าหาเธอ
    "ฮู่ ฮ่าห์ อึ๊บ โย่ว อะจ๊าก ว๊าก" เธอออกเสียงแอคชั่นพร้อมกับตบยุงตายคามือไปหลายตัว

    หลังจากวิ่งไปราวครึ่งช.ม. จนพ้นรัศมีชองระเบิดมันฯ มาได้แล้ว เธอก็รู้สึกหิวอาหารและหิวน้ำมาก ส่วนคุณยายน่ะเหรอ แกหายไปตอมท้องเรื่อง
    "โอย หิวจัง ไม่มีของกินมั่งหรือแถวๆ นี้ แค่น้ำดื่มก็ยังดี" เธอเอามือลูบท้องพร้อมล้มตัวลงไปกับพื้น ทันใดนั้น จมูกของเธอก็ได้กลิ่นอันคุ้นเคย
    "ซู๊ดดดด" และได้ยินเสียงคนดูดเส้นอะไรบางอย่าง
    "นี่มันกลิ่นขี้คุณยาย หรือว่า" เธอลุกเดินไปยังที่มาของเสียง (และที่มาของกลิ่น) เธอเห็นคุณยายกำลังนั่งซดมาม่าในชาม และข้างๆ ยายก็มีชามเปล่าอีกนับ 10 ใบ กับชามที่มีมาม่าอีกสองสามใบ
    "ยาย มันกินได้เหรอนั่น" แม้เธอจะรู้สึกระแวงกับมาม่ากลางป่ามาก แต่ท่าทางที่กินอย่างไม่เดือดร้อนอะไรของยาย (และชามเปล่านับสิบ) ก็ทำให้เธอคิดว่า
    "มันคงเป็นมาม่าจริงๆ" ว่าแล้วเธอก็หยิบชามสุดท้าย ก่อนที่ยายจะทันคว้าพอดี

    หลังจากเติมพลังให้ตัวเองเสร็จ สาวน้อยตีนหนัก จึงหันมาถามยายว่า "ยายเจอมาม่าขนาดนี้ในป่าได้ยังไง"
    ยายชี้นิ้วไป ตรงนั้นเองมีทุ่งข้าวสาลี แต่ไม่มีโกโก้ครันช์ ที่นานั้น เห็นเงาคนก้มๆ เงยๆ เหมือนหารูปูอยู่
    "แฮ่ะ มันก็ต้องมีคนเอามาให้อยู่เลี้ยว" เสียงผู้ชายตอบกลับมา "มาม่าที่อาม่าและหลานอาม่ากิน ก็มาจากตัวข้า ที่ออกล่า แล้วเอามาทำให้เป็นผลผลิตในที่นาของข้า นาที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ ในการใช้ปุ๋ยจากศพมนุษย์ ว่าแล้วก็มาเป็นปุ๋ยให้นาข้าวของข้าเสียดีๆ" และแล้วคุณชาวนาก็ยกอุปกรณ์ขึ้นมา
    "บรื้นๆๆ โอ้ววววว" และวิ่งเข้าใส่ทั้งคู่ด้วยเลื่อยไฟฟ้าอันใหญ่ในสองมือ
    "วิ่งงงงงงงงง"เธอตะโกนสุดเสียง พร้อมกับหันหลังเตรียมวิ่ง เธอมองเห็นยายอยู่ไกลลิบๆ (ตลอดอ่ะยาย)
    "ดูข้าสิ ดูข้านี่ วะฮ่าๆ" ลุงชาวนาวิ่งไล่ให้ดู (ให้ดูอะไร?) พร้อมตะโกนด้วยเสียงชวนผวา
    เธอวิ่งฝ่าป่าไปอย่างไม่คิดชีวิต เธอวิ่งไป วิ่งเข้าทาเคชิ วิ่งไปให้ถึงวิหาร
    "วิหารที่ไหนกันล่ะว้อยยย" เธอหันหน้ามาถามผู้แต่ง
    วิหารตรงหน้าเธอเนี่ย อ๊ะ ระวัง
    "ปั๊ก" ดั้งและหน้าผากของเธอกระทบเข้ากับเสาอย่างเหมาะมุม สายน้ำสีแดงลอยละล่อง สาดกระเซ็นไปเข้าตาลุงชาวนา
    "อ๊าก ตาข้า" แกดิ้นบิดตัวไปมา จนเดินลงไปไหนหลุมทรายดูด
    "ม่ายยยยย ข้ามีบทแค่นี้เองเรอะ" ลุงค่อยๆ จมลงไป ชูมือสองนิ้วก่อนหายไป
    ยายที่เปลี่ยนชุด ใส่บิกินี่ พร้อมแว่นกันแดดนอนบนเก้าอี้ผ้าใบรออยู่ในวิหาร มองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และก็กล่าวว่า
    "สบายกู" ความเงียบเข้าปกคลุม ลมหวีดหวิวพัดผ่านทะเลทราย
    "เราต้องกลับไปทาสีนาข้าวให้เป็นสีแดง" ยายเลิกแว่นตาขึ้น
    เธอ วาตาชิด อยากจะเถียงยายกลับไปสักคำ แต่เธอก็เจ็บมากจนพูดไม่ออก แต่ว่า
    "ทำไมไม่ไปทาสีอ่าว (bay) ซะเลยล่ะ เอาสีขาวดำแบบโมโนโทนเป็นไง" เสียงปริศนาดังก้องกังวานมาจากในวิหารด้านบน
    สิ่งที่ปรากฏแก่สายตา คือชาวเผ่าสักเผ่า ใส่หน้ากากรูปร่างประหลาด ในมือถือไม้เรียวอยู่หนึ่งอัน อีกมือถือของกิน
    "อ้าเอ็นไอ ไออำอะไออู่อนอั้น" ไม่มีใครฟังเธอออก แต่ผมเข้าใจ ชายในหน้ากาก พุ่งไม้เรียวออกมาด้วยความเร็วราวกับลูกธนูออกจากคันสร
    "เอาไม้นี่ ขยี้ๆ แล้วแปะที่แผลซะ วัตถุดิบที่ใส่ในไม้เรียวนี่มันเป็นยารักษาแผลชั้นยอดเลยเชียวล่ะ"


โปรดติดตามตอนต่อไป

浴びる อาบิรุ      ก. อาบ (น้ำ แดด)
売店  ไบเต็น    น. ร้านขายของเล็กๆ ซุ้มขายของ
ちゃんとชันโตะ    ว. อย่างเรียบร้อยไม่ผิดพลาด
題   ได          น. หัวข้อ โจทย์
台   ได          น. แท่น ฐาน
絵   เอะ         น. รูปวาด
エビ        เอบิ         น. กุ้ง
不安  ฟุอัน       น.ค. กังวลใจ ไม่สงบ
害   ไก          น. โทษภัย อันตราย ผลเสีย ความเสียหาย
葉   ฮะ          น. ใบไม้
胃   อิ            น. กระเพาะอาหาร
じゃがいも  จาไกโมะ      น. มันฝรั่ง
蚊   คา          น. ยุง
真   มา          อุป. จริง แท้ จริงๆ
名   นา          น. ชื่อ ชื่อเสียง ชื่อเรื่อง
大            โอ          อุป. ใหญ่ มาก รุนแรง หนักหนา ดัง
礼拝堂 ไรไฮโด  น. วิหาร   
砂漠  ซาบากุ   น. ทะเลทราย
家   อุชิ, อิเยะ          น. บ้าน ทางบ้าน
輪   วะ           น. วง ห่วง ล้อ
田   ทา          น. นาข้าว
矢   ยา           น. ลูกศร ลูกธนู ลูกดอก ลิ่ม
材料  ไซเรียว   น. วัตถุดิบ เครื่องปรุง

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ภาษาจีนกันสักนิด

    จริงๆ แต่ดั้งแต่เดิม ผมเรียนภาษาจีนด้วยตนเองมาสักพักแล้ว แต่หยุดไปเพราะหลงลืม และสนใจภาษาญี่ปุ่นมากกว่า วันนี้เลยถือโอกาสปัดฝุ่น ทบทวนกันสักนิด
    วิธีที่วันนี้ผมจะเป็นประโยคแปลกๆ ลองดูละกันครับ (วิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย เหมาะกับเราแบบไหนก็ใช้แบบนั้นล่ะ)
    คำอ่าน
    หว้าๆ    วาดรูปชิว้าว่า
    ผิงฉี๋     ยื่นฉี่ข้างเตาผิงเป็นเรื่องปกติ
    4ฮวน   ชอบกินตือฮวน 4 ชิ้น
    ฉางๆ    ตีฉาบดังเป็นประจำ (บ่อยๆ)
    เที่ยวอู๋  ชอบไปเที่ยวเต้นที่อู่ซ่อมรถ
    เสี่ยง    คนไทยมักอยากเล่น
    อี้จื๋อ     แอบชอบอาจื่อมาตลอด
    เหม่ยเทียน เจออาเหม่ยทุกวัน
    โจวมั่ว  มามั่วสุมกันเสาร์อาทิตย์ (สุดสัปดาห์)
    ช่าง      ชอบร้องเพลง
    เก(ล)อ  ก็เพลง

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ในห้องที่มีหิมะโปรยปราย

    มีคนบอกว่าผิดเยอะเลยล่ะ แต่ก็เอาเถอะ จะถูกหรือผิด มันก็เป็นการเรียนรู้ทั้งนั้น แต่คราวหน้า จะเอาแต่ที่ชัวร์แล้วละกัน อ่ะเริ่มกันเลย

    วันหนึ่งยามที่ท้องฟ้ามืดมิด ไม่มีแม้หมู่มวลเมฆหมอก และแสงดาว (โฮชิ) หรือเงาจันทร์ (ทสึคิ) แต่สิ่งนั้นเท่านั้น ที่สว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
    มันไม่ได้ส่องแสงในตัวเองหรอก แต่สิ่งนั้น สามารถมองได้ชัดเจน เฉกเช่นเหมือนเห็นมันอยู่ยามต้องแสงดวงอาทิตย์ (โอชิซามะ) มันคือเก้าอี้อิฐตัวหนึ่ง เก้าอี้ตัวนี้ ดูแล้วเหมือนบังลังก์มากกว่า ด้วยความเก่าแก่ มีร่องรอยสึกกร่อนมากมาย แต่สีที่ดูแดงฉ่ำ ดังอิฐมอญ ก็ได้ดึงดูดฉันเข้าไป มือของฉัน ค่อยๆ เอื้อมไปที่เก้าอี้ตัวนั้น แม้แต่ร่างกายของฉัน ก็ยังถูกความมืดกลืนกิน มองไม่เห็นแม้แต่เงาแขนที่ขวางภาพของเก้าอี้อิฐสึก
    ในทันที ที่นิ้วของฉัน สัมผัสถึงเก้าอี้ สึกพิลึกพิลั่นก็เกิดขึ้น ฉับพลันโดยรอบก็สว่างขึ้นมาทันใดด้วยความเร็วเพียงกระพริบตาเท่านั้น ฉันอยู่ในห้องแห่งหนึ่ง ห้องใหญ่ และกว้างสุดลูกหูลูกตา พื้นสว่างเป็นสีขาว เพดานแบนเรียบสีดำมืดมิด ขอบของกำแพงยาวจนแสงส่องไปไม่ถึง อากาศเย็นยะเยือกสัมผัสผิวกาย พอมองดูตัวเองก็พบว่าอยู่ในชุดเดิมอันคุ้นเคย หิมะเริ่มร่วงโปรยปรายมาจากเพดานห้อง
    พอลองเดินไปรอบๆ ก็เห็นต้นไม้เล็กใหญ่ที่เหี่ยวแห้ง เหลือแต่กิ่ง พอหันกลับทางที่เดินมา เก้าอี้หายไปแล้ว แต่มีโต๊ะแทน โต๊ะไม้เก่าๆ สึกๆ ขาตั้งเป็นซี่ๆ เหมือนลูกกรงคุก เอ๊ะ! หรือจริงๆ แล้ว มันเป็นกรงมากกว่า
    ภายในโต๊ะ หรือจะบอกว่าใต้โต๊ะดี มียายแก่คนหนึ่งท่าทางเศร้าๆ หน้าตาอมทุกข์ นั่งคุดคู้อยู่ริมขาโต๊ะสึกๆ ด้วยความรู้สึกสงสัย ฉันจึงเดินเข้าไปหา เห็นในมือยาย กำกระดาษอะไรอยู่ในมือ
    "ยายคะ ยายเป็นใคร ทำไมมาอยู่ในนี้" ยายมองมาทางฉันด้วยแววตาที่ใสเหมือนเด็กแล้วตอบว่า
    "ยายชื่อ มินิ" พอมองดูดีๆ สิ่งที่ยายกำอยู่ในมือ คือกระดาษของสมุดจด ซึ่งมีอะไรเขียนอยู่มากมาย
    "หนูขอดูกระดาษที่ยายถืออยู่ได้ไหม" คุณยายทำท่าลังเลครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโชว์กระดาษให้ดู แต่ว่า
    "อี๋!!!" มันเหม็นมาก แต่ฉันก็กลั้นใจ หยิบกระดาษพวกนั้น และมองดูให้ดีๆ ว่ามันเขียนว่าอะไร แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจมาก
    "ขาโต๊ะพังด้านหนึ่ง เอาไว้ใช้หลบหิมะได้นะจ๊ะ" หรือก็คือ
    จริงๆ คุณยายไม่ได้โดนขัง แต่แกเข้าไปนั่งเล่นใต้โต๊ะเอง
    "ชีวิตยายน่าสงสารมากเลยนะจ๊ะ หนูอยากฟังไหมล่ะ" ยายพูดหลังจากเลื้อยมาจากใต้โต๊ะ แต่ในขณะที่พูดนั้น หน้าตาแกดูเซย(เฉย)เมยมาก ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรยายก็พูดต่อ
    "ชีวิตของยายอ่ะ ดิ้นรน ผ่านการต่อสู้มาเยอะ สมัยก่อนนะ มีดสปาต้าไม่ได้กินยายหรอก เพราะยายพกลูกตะกั่ว" ยายพูดไปพร้อมกับซบลงบนโต๊ะอันเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง "เออ หนูก็หน้าตาดูฉลาดดีนะ หนูมีริโคล่าไหม"
    "ห๋า?" ฉันงงมากกับคำถามของคุณยาย
    "อ้าว นึกว่าฉลาด ที่แท้ก็โง่ ลูกอมไง ลูกอม ไอ้ที่โฆษณามันร้องว่าริโคล่าน่ะ"

    เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ เดี๋ยวมาเล่าต่อคราวหลัง
    ผมตัดสินใจแล้ว ว่าจะแต่งต่อให้มันเป็นเรื่องราวเดียวกันยาวๆ ไปเลย
    แล้วพบกันใหม่ครับ






    椅子 อิซึ        แปลว่า   เก้าอี้ (อิฐสึก)
    広い ฮิโรย     แปลว่า    กว้าง
    机  ซึคุเอะ   แปลว่า   โต๊ะ
    苦痛 คุทซึ      แปลว่า   ความทุกข์
    紙  คะมิ       แปลว่า    กระดาษ
    โชเมน   แปลว่า   สมุด
    生命 เซยเมย แปลว่า   ชีวิต
    โซโตะ   แปลว่า   การต่อสู้
    理粉 ริโคนะ   แปลว่า    ฉลาด

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

เหตุเกิดจากการวิ่งไล่

    วันนี้ผมขอนอกเรื่องนิดหนึ่งละกัน ถือว่าเป็นเรื่องเล่าแชร์ประสบการณ์ละกัน แต่ว่า ก่อนที่จะเล่าเรื่อง ผมถามก่อนว่า พวกคุณมีความฝันกันหรือเปล่า
    ถ้าวันนี้เลือกได้ อยากจะเป็นอะไร ทำอะไร ประสบความสำเร็จในด้านไหน
    แล้วตอนนี้ตัวคุณเป็นอย่างไร เป้าหมายที่อยากเป็นอยากได้ กับระยะทางที่คุณเดินมา มันใกล้ขึ้นแค่ไหนแล้ว
    บางคนอาจจะเคยมีความฝัน และล้มเลิกไปแล้ว เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ผมจะบอกว่า ข้อจำกัดข้อคุณมันช่างเป็นเรื่องเหลวไหล
    แน่นอน คุณรู้สึกว่าเหตุผลของคุณนั้น มีน้ำหนักมาก และเป็นจริงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
    คุณคิดว่า คนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายทั้งมวลในโลก เขาสำเร็จเพราะอะไร เขาเป็นแชมเปี้ยนได้อย่างไร
    คำตอบคือ เขาเป็นแบบนั้นได้ เพราะตัวเขาเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ฟังถึงตรงนี้แล้วคุณคงงง ผมจะเริ่มเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟัง
    เป้าหมายของผมคือ เป็นคนที่ "เจ๋ง" และจะ "เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น" ฟังดูเพ้อฝัน เรียบง่าย แต่ก็กระชับ และทรงพลัง ต่อไปที่ผมจะเล่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
    วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งรถโดยสารประจำทางกลับที่พัก มีนักท่องเที่ยวสองคน เดินขึ้นมาบนรถ แล้วถามทางกับเจ้าหน้าที่ประจำรถ แต่ดูแววแล้ว ทั้งสองฝ่ายคุยกันไม่รู้เรื่อง
    ด้วยความที่คิดว่าทักษะภาษาต่างชาติของผมสูงกว่าเจ้าหน้าที่ ผมจึงลุกจากที่นั่งแล้วเข้าไปช่วย ผมบอกนักท่องเที่ยวเสร็จ ทั้งสองคนลงไป แล้วผมก็กลับมานั่งที่ รถเริ่มเคลื่อนตัวไปยังจุดหมายต่อไป แต่ผมกลับพบว่า
    ผมบอกทางพวกเขา "ผิด" ทางที่พวกเขาไปนั้น ไม่มีรถที่พวกเขาจะขึ้นอยู่แน่นอน
    ถึงตรงนี้พวกคุณ จะทำอย่างไรกันดีครับ

    เราสามารถ ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็ได้ เพราะเขาสามารถถามคนอื่นๆ ต่อไปได้ หรือไม่ทางสุดท้ายก็คือเรียกรถแท๊กซี่ซึ่งพาพวกเขาไปถึงจุดหมายได้อยู่แล้ว
    สิ่งที่ผมคิด และตัดสินใจคือ แม้ผมจะเลยจุดที่พวกเขาลงไปก่อนหนึ่งจุด แต่ผมก็ตัดสินใจลงจากรถ และวิ่งไปตามหาพวกเขา
    วิ่งเข้า วิ่ง วิ่งสุดแรง วิ่งสุดกำลัง วิ่งเข้าเอ๋ วิ่ง ขอบอกว่าเหนื่อยจะเป็นลม

    มันเป็นการกระทำที่ คนปกติไม่น่าจะทำ และไม่มีอะไรการันตีด้วยว่า เราจะเจอพวกเขา และผลสุดท้ายของเรื่องนี้คือ
    ผมวิ่งไปตามหาตรงจุดที่เขาน่าจะเดินมาตามที่ผมบอก และรอสักพัก แต่ก็ไม่พบใครครับ
    "ไม่น่ามาเลยว่ะ" เปล่าเลยครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น

    สิ่งที่ผมได้เรียนรู้และได้ทำในวันนั้นคือ
    1. ผมไม่ใช่คนธรรมดาครับ มันคงยังไม่ถึงขั้นเจ๋ง แต่คนปกติ ไม่มีใครทำอย่างผมหรอกครับ เขาคงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป
    2. ผมรับผิดชอบสิ่งที่ผมกระทำ อย่างเต็มที่ครับ หาวิธีแก้ปัญหา และลงมือทำ
    3. บทเรียนที่ผมได้ และเข้าใจคือ คนที่ประสบความสำเร็จ ย่อมต้องทำทุกอย่าง อย่างเต็มที่ โดยไม่สนว่า ผลลัพธ์ที่ดีจะออกมาหรือไม่ แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด เต็มที่กับมันที่สุด

    คนที่เป็นแชมเปี้ยน คนที่ประสบความสำเร็จ เขาเป็นของเขาอยู่แล้ว ที่ผมได้กล่าวไปก่อนหน้านั้น ผมหมายถึง ทัศนคติ จิตวิญญาณ และความคิดของเขาครับ คนพวกนี้ มักจะมีคำถามอยู่ในใจเสมอว่า ต้องทำอย่างไร และแบบไหน และถ้าคุณมีเพื่อนเป็นคนประเภทนี้ล่ะก็ ผมรับประกันได้เลยว่า คุณแทบจะไม่เคยได้ยินพวกเขาบ่น

    คนแบบนี้ มักจะสนใจ และพุ่งเป้า มีความกระหาย ที่จะก้าวไปข้างหน้าทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะก้าวถูกหรือผิด เขาจะพุ่งชนตลอดเวลา ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ แต่จะสนใจเรื่องที่ปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้เท่านั้น
    เปลวไฟในตัวของพวกเขา หรือความมุ่งมั่นนั้นนั่นเอง จะเป็นตัวที่ดึงดูดบุคคลรอบข้าง และสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ
    เหมือนเรื่อง the Hulk ล่ะครับ ร่างที่เปลี่ยนไป แสดงถึงภาวะจิตใจภายในของตัวเองนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

มาดูเรื่องสีดีกว่า

    วันนี้ไม่มีเรื่องเล่า แต่มาอ่านกันแบบสบายๆ เหมือนนั่งพูดคุยกันดีกว่า
    ประเทศไทยของเรา เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเข้ามาในประเทศหลากหลายมากครับ เรียกได้ว่าไม่ได้กีดกันหรือปิดกั้นวัฒนธรรมชาติใดๆ ซึ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่น ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่มีผลและหยั่งรากลึก ผสมอยู่ในสังคมของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของชื่อ และร้านรวงต่างๆ
    ร้านอาหารญี่ปุ่น มากมายหลายหลาก ล้วนมีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบทั้งสิ้น และในร้านรวงเหล่านั้น ก็มีชื่อที่แทนสี หรือโทนของร้านอยู่ด้วย ยกตัวอย่าง เช่นร้าน Aka และ Kin sushi

    赤 อากะ แปลว่าสีแดง สังเกตเลยว่า ร้านนี้จะใช้โทนร้านเป็นสีแดง
    青 อาโอ แปลว่าสีน้ำเงิน จำง่ายๆ ว่าโอโตยะ ผ้าที่เขียนชื่อร้านเป็นสีน้ำเงินเข้ม

     คุโระ แปลว่าสีดำ ส่วนมากคำที่เจอได้บ่อยๆ ก็คือ คุโระเนโกะ แมวดำ แต่ถ้าจำยากนัก จำว่าคุกมันมืด เลยเป็นสีดำ - โอเค โคเคน






     ชิโระ แปลว่าสีขาว ชื่อหมาในการ์ตูนเรื่องชินจังครับ ชื่อนั้นแหละ ใช่เลย
    黄色 คิโระ แปลว่าสีเหลือง จำว่าขี้ก็ได้ครับ ขี้สีเหลือง ต้นไม้ก็สีเหลือง เอ๋!!!!
    茶色 ชาอิโระ แปลว่าสีน้ำตาล สีชา น้ำชานั่นเอง
     คิน แปลว่าสีทอง สะกดแบบเดียวกับภาษาจีน จีนกลางออกเสียงว่า จิน จำคู่ว่า "คินกิน" ทองกับเงิน

     กิน แปลว่าสีเงิน ก็อย่างที่บอกข้างต้น หรือจะจำเป็น คุณกิน ในเรื่องกินทามะก็ได้ ผมสีเงิน (เอ หรือจริงๆ พี่แกผมหงอกหว่า)
     มุราซากิ แปลว่าสีม่วง ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ขอเว้นไว้ 1 คำ
    桃色 โมโมอิโระ แปลว่าสีชมพู รู้จักเรื่องโมโมทาโร่ เด็กชายที่เกิดจากลูกท้อไหมครับ นั่นล่ะ ลูกท้อสีชมพู ตามนั้นเลย

    สำหรับวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวจะลากยาวแบบ ครั้งที่แล้ว
    แล้วมาพบกันใหม่อีกครั้ง อ่านง่ายๆ อ่านสนุกๆ จำได้ก็ดี ไม่ได้ก็อย่าซีเรียส ชอบก็ส่งๆ ต่อกันไปนะครับ แล้วพบกันใหม่
    Jaaa ne!

    เดี๋ยวๆ ผมลืมไปอีกคำ
    绿 มิโดริ แปลว่าสีเขียว โอเค หมดแล้วที่อยากจะกล่าว 555

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

อย่าไปจิ้มขี้ที่โคนต้นไม้นั่นนะ

    ก็ขอตีลังกาสวัสดีผู้อ่านทุกท่านนะครับ กับกระผม ซีโร่
    วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องแปลกๆ พิลึกๆ ให้ฟังกันอีกแล้ว โดยคราวที่แล้ว ได้คำศัพท์ไปเพียงแค่สองคำ อย่ากระนั้นเลย คราวนี้ผมแจกให้ เอาไปทีเดียว ถึง 10 คำเลย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เชิญไปอ่านกันได้เลย


    กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่ง (กะหรี่) ผู้ซึ่งมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ ได้เดินเรื่อยเปื่อยไปในเมือง ทันใดนั้น ก็ผมกับลุงแก่ๆ คนหนึ่ง หน้าตาบอกยี่ห้อว่าลุงมีสัญชาติเดียวกับรถฮอนด้า ลุงแกก็ชี้มือไปข้างๆ พร้อมกับถามชายหนุ่มนั่นเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า
    “Kore wa nan desu ka?” (โคเร วะ นาน เดซ ก๊ะ) แปลว่า “นั่นคืออัลลัย” พร้อมกับชี้นิ้วไปที่วัตถุสีน้ำตาลเลื่อมๆ ที่โคนต้นไม้
    ทันทีที่ชายหนุ่มมองไปตรงนั้น จมูกเขาก็บิดเบี้ยวทันที แต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไร ตาลุงนั่นก็ก้มลง ทำท่าจะจิ้มสิ่งนั้น
    “เฮ้ย อย่านะลุง นั่นมัน ขี้ อรี้ๆๆๆๆๆ” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง พร้อมกับออกท่าทางแอคชั่นเป็นที่ดึงดูดสายตาของชาวบ้านรอบข้าง ทำให้คุณลุงของเราชะงัก หันมามอง พร้อมกับพูดว่า
    “Ki?” (คิ) แกจึงหันไปมองบนต้นไม้ ทันใดนั้นเอง ก็เกิดแสงสว่าง
    “Owwww me me me” (โอ้ววววววววว เมะ เมะ เมะ เมก้าบางนา) ลุงแกรีบเอามือปิดตาโดยพลัน
    สิ่งที่ปรากฏอยู่บนต้นไม้นั้นคือ ป้าย “โออิชิ” ที่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันสว่างจ้ามาก ราวกับดวงอาทิตย์
    เมื่อชายหนุ่มมองไปรอบๆ ไม่เห็นร้านโออิชิแต่ประการใด เห็นแต่เพียงร้านสุกี้เอ็มเค ซึ่งฉไนตอนนี้ ที่ป้าย มีโลโก้รูปพระจันทร์
    เพียงแค่คุณละสายตา คุณลุงก็ทำท่าจะล้มลงบนกองขี้เสียแล้ว ชายหนุ่มรีบกระโจนเข้าไป หวังจะพลักลุงให้พ้นกองขี้ แต่บางสิ่งมาขัดขาเขาเสียก่อน มันคือ “โปเกม่อน”
    ครับ โปเกมอนกำลังเล่นวิ่งไล่จับกันมาจากไหนไม่รู้ มี “คุไซฮานะ” วิ่งนำ และมี “คิเรฮานะ” วิ่งตาม ผลคือ เขาหน้าจิ้มลงไปในกองขี้ และบอดี้ของคุณลุง ช่วยขยี้ขี้ เข้าจมูกอย่างชื่นจายยยยยย
    ป้ายโออิชิ เห็นดังนั้น ก็ร้องไห้ โฮ สงสารเจ้าหนุ่มหน้าตาจิ้มขี้ แสงมันค่อยๆ เบาลง จนเหลือเป็นเพียงแสงดาว
    แต่ยังไม่หมด หมาเจ้าของวัตถุกลิ่นหอม มาเห่า “โฮ่งๆ” ใส่ชายหนุ่มที่นอนนิ่งไม่ไหวติง คุณลุงตกใจ รีบลุกขึ้นโดยเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลุก ก็มีหนังสือเล่มหนึ่ง คือดูท่าทางจะตั้งใจขว้างหัวหมาแหละ แต่มาโดนหัวเขาแทน
    อาสสสสสส์ ซ้ำลงไปในกองขี้ กลิ่นมาดามหอมชื่นใจ
    จบเหอะ

    จบไปแล้วนะครับ กับเรื่องเล่า บ้าๆ บอๆ สำหรับวันนี้ แต่ดันมีคำศัพท์มากกว่า 10 คำเสียแล้วสิ อ่ะ ไม่เป็นไร มาดูกันทีละคำเลยดีกว่า
    ประโยคที่ลุงพูดมา “Kore wa nan desu ka?” ประกอบด้วยคำดังต่อไปนี้
    Kore これ นี่                          wa は เป็นคำช่วยชี้ประธาน            
   nan หรือ nani 何 อะไร          desu です คือ,เป็น    ka か ตัวบอกคำถาม (หรือ)

    ลุงชี้ไปที่ขี้ แล้วมองต้นไม้
    Ki 木 คือ “ต้นไม้” ครับ

    แสงจ้า แสบตา แกเอามือปิดตาแล้วร้อง
    Me 目 แปลว่า “ตา”

    ป้ายโออิชิสว่างเหมือนดวงอาทิตย์
    Ohisama おひさま โอะ-ฮิ-ซะ-มะ แปลว่า “ดวงอาทิตย์”

    สุกี้มีโลโก้พระจันทร์
    Tsuki 月 ซึ-คิ แปลว่า “พระจันทร์” (ตัวนี้เขียนเหมือนภาษาจีน)

    โปเกมอนสองตัว คือ คุไซฮานะ กับ คิเรฮานะ
    Kusa  คุ-สะ แปลว่า “หญ้า”                      Kusai 臭い คุ-ไซ แปลว่า “เหม็น”
    Kireina 綺麗 คิ-เรย-นะ แปลว่า “สวย”       Hana  ฮา-นะ แปลว่า “ดอกไม้”

    ป้ายโออิชิร้องไห้โฮๆ แล้วแสงก็ลดลง
    Hoshi  โฮ-ชิ แปลว่า “ดวงดาว”

    และสุดท้าย หมาเห่าโฮ่งๆ จนถูกหนังสือขว้าง
    Hon  ฮน แปลว่า “หนังสือ”

    ตกลงทั้งหมด ก็ตั้ง 15 คำ เยอะพอสมควรเลย ก็ค่อยๆ เล่น ค่อยๆ จำ ค่อยๆ ลองเอาไปเล่ากันไป อย่าคิดมากครับ เอาขำๆ จะได้จำได้ ถ้าไม่ถึงขั้นจะต้องจำไปสอบ จำแค่เสียงก็พอแล้วครับ แล้วเดี๋ยวกระผม จะค่อยๆ เพิ่มประโยคเข้าไป และหลักเข้ามาเรื่อยๆ จะได้ลองผสมประโยคเป็น
    การเรียนภาษาไม่ยากอย่างที่คิดนะครับ แค่ต้องรู้ ศัพท์เยอะๆ กับหลักไวยากรณ์ พอเจอประโยคบ่อยๆ ก็จะเริ่มผันเสียงได้เองโดยอัตโนมัติครับ

    แล้วพบกันใหม่คราวหน้าครับผม

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

เขากับหล่อน มีอะไรกัน?

    ขอกระโดดสวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน กระผมซีโร่ครับ วันนี้จั่วหัวมาเสียเสียวเลย กับหัวข้อ "เขากับหล่อน มีอะไรกัน?"

    เขากับหล่อนไม่ได้มีอะไรกันหรอกครับ เราต่างหากที่จะไปมีอะไรกับเขาและหล่อน (เอ๊ะ! เสียอย่างนั้น)

    เขา ชอบกินแกงกะหรี่ ส่วนหล่อน ชอบเลี้ยงนกเขาหัวจุก แถมนกเขาหัวจุกตัวนี้ยังพูด "คะ" ได้อีกด้วย (แปลกดีนะครับ)
    เขากับหล่อน ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่แล้ว โชคชะตาก็นำพาทั้งสองมาพบกัน

    วันหนึ่ง ณ ใจกลางเมืองกรุงแห่งหนึ่ง เวลาเที่ยง เวลาที่ท้องหิวแสนหิว เขาจึงเดินเข้าไปร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง พร้อมกับสั่งทันทีว่า
    "ข้าวราดแกงกะหรี่หนึ่งจาน" โดยที่หารู้ตัวไม่ว่า เขาได้เดินเข้ามาในร้าน ที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
    ในขณะที่เขานั่งรอไปพลาง เล่นมือถือไปพลางนั่นเอง หล่อนก็เดินเข้ามาในร้าน พร้อมกรงนกหัวจุกของเธอ นกที่เพื่อนๆ เรียกว่า "คะนกจุก" เธอมองไปทั่วร้าน ไม่มีที่นั่งเลย ยกเว้นที่นั่งข้างๆ เขาคนนั้น
    หล่อนจึงเดินเข้าไป และพูดด้วยเสียงอันอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะพูดได้ว่า
    "ขอนั่งด้วย ได้มิเคอะ" เขาซึ่งนั่งอยู่คนเดียว เมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานขนาดน้ำผึ้งยังจืด จึงตอบกลับด้วยเสียงอันแสนจะเก็กหล่อว่า
    "อะเฮื้อออออ ได้เลยยยยยยยย" 
    ทันทีที่สิ้นเสียง หล่อนก็วางกรงนกลงตรงเบื้อหน้าเขา ทัศนวิสัยของเขากับหล่อน ถูกขวางกั้น ด้วยกรงเปื้อนขี้นกสีขาวทันที
    "อะเฮื้อ กลิ่นช่างหอมบัดซบจริงๆ เลย" เขาได้แต่คิดเสียงเก็กหล่อในใจ

    และแล้ว อาหารของเขา ก็มาเสิร์ฟ แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ
    "ผ่างงงงงงงง" ตามรูป
    "โอ้ว พระเจ้า ซาร่าพาราเซตาโปเกม่อน นี่มันอาหารบรรลัยของพวกชาตินิยมประเภทใดกัน" ขณะที่มีความคิดสบถในใจอันเหยิดยาวนั้น บริกร ก็ได้สะบัดตูด เดินตีปีกหนีไปเสียแล้ว ส่วนหล่อนน่ะหรือ หล่อน.........
    กำลังเอามือแคะขี้นกที่ติดกรงมาแทะเล่น
    "สลัดดดดดด" เขาคิดในใจ แม้จะไม่ได้อยากกินผักสลัดแต่ประการใด ด้วยความขัดใจ จึงเท้าข้อศอกลงโต๊ะอย่างแรง แต่ว่า
    "แก๊ง" ข้อศอกโดนไปที่ปลายช้อนแสตนเลส ส่งผลให้ช้อง ตีลังกา ราวด์ออฟ เหวี่ยงแกงกะหรี่ เข้าไปในกรงนกทันที
    "อีชิหาย" รอบนี้ เสียงแหลมแปร๋นดังชะนีร้องเรียกหาผัว ก็หลุดมาจากปากของเขา
    เขาก็ยืนเงียบสักพัก เพื่อรับกับรังศีสายตาที่ทิ่มแทงมาจากรอบๆ ร้านๆ พร้อมกับทำหน้าฉลาดๆ ก่อนจะรีบเอาศีรษะไปถูกับพื้น ขอโทษขอโพยหล่อนเป็นการใหญ่ ที่ย้อมกรงนก และนกของหล่อน ให้มีสีสันสดสวยงดงาม เหมือนภาพวาด ของเด็กปัญญาอ่อน พร้อมกับรีบเอา กระดาษทิชชู่มาเช็ดที่กรง
    แต่ว่า เช็ดเท่าไรก็เช็ด "ม่ายยยยยยยออก"

    ด้วยการพบกันที่จะทับใจในร้านอาหารนี้ ทั้งเขาและหล่อน จึงได้......
    ไปซื้อสี มาทากรงนก และนกของหล่อน ให้มีสีกลับมาเป็นปกติดังเดิม

    จบเถอะ

    ต่อไป เราก็มาเข้าช่วงสาระกันนะครับ (เล่นขนาดนี้ ยังจะมีสาระเหลืออีกเร้อออออ มีครับ มี)
    ในเรื่องราวโคตรอภิมหากาพย์ มหาบรรลัยนี้ ยังมีสาระแฝงไว้เรื่องภาษาญี่ปุ่น และภาษาจีนอยู่ครับ (ถึงมันจะไม่มากเท่าไรก็เหอะ) เรามาเฉลยที่ละอันดีกว่า

    เขา ชอบกินแกงกะหรี่ครับ ทำไมต้องชอบกินแกงกะหรี่ เพราะว่า
    Kare เป็นคำอ่านของคำว่า "เขา (กรี๊ดดดด ผู้ชายย)" ในภาษาญี่ปุ่นครับ 
    อ่านว่า "คะเระ" (ถ้าเติมอีก็เป็น อีKaree ไม่ใช่ละ เป็นแค่กะหรี่เฉยๆ)

    ต่อมา หล่อน (ใช่ หล่อนนั่นแหละ) หรือเขาผู้หญิง เลี้ยงนกหัวจุก ที่สามารถพูดคำว่า "คะ" ได้
    Kanojo แปลว่า "หล่อน" หรือเขาผู้หญิงครับ เข้าใจนะ "ค่ะนกจุก"
彼 ผู้ชาย 彼女 ผู้หญิง


    แล้วทำไมต้องมาเล่าเสียยืดยาว เอาแกงกะหรี่สีฟ้า เอาสีมาทาต่อไปทำไม เพราะว่า 
    คำว่า "ทา" แปลว่า เขา หรือหล่อน ในภาษาจีนครับ
ผู้ชาย ผู้หญิง


    วันนี้ ก็เอาเพียงสองคำนี้ก่อนละกันนะครับ ค่อยๆ เพิ่ม ค่อยๆ จำ ก็จะจำได้ทุกตัว ถ้าจำมาก อัดมาก ก็ลืมหลายตัวนะเออ
    แล้วพบกันใหม่ครับ