มีคนบอกว่าผิดเยอะเลยล่ะ แต่ก็เอาเถอะ จะถูกหรือผิด มันก็เป็นการเรียนรู้ทั้งนั้น แต่คราวหน้า จะเอาแต่ที่ชัวร์แล้วละกัน อ่ะเริ่มกันเลย
วันหนึ่งยามที่ท้องฟ้ามืดมิด ไม่มีแม้หมู่มวลเมฆหมอก และแสงดาว (โฮชิ) หรือเงาจันทร์ (ทสึคิ) แต่สิ่งนั้นเท่านั้น ที่สว่างอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
มันไม่ได้ส่องแสงในตัวเองหรอก แต่สิ่งนั้น สามารถมองได้ชัดเจน เฉกเช่นเหมือนเห็นมันอยู่ยามต้องแสงดวงอาทิตย์ (โอชิซามะ) มันคือเก้าอี้อิฐตัวหนึ่ง เก้าอี้ตัวนี้ ดูแล้วเหมือนบังลังก์มากกว่า ด้วยความเก่าแก่ มีร่องรอยสึกกร่อนมากมาย แต่สีที่ดูแดงฉ่ำ ดังอิฐมอญ ก็ได้ดึงดูดฉันเข้าไป มือของฉัน ค่อยๆ เอื้อมไปที่เก้าอี้ตัวนั้น แม้แต่ร่างกายของฉัน ก็ยังถูกความมืดกลืนกิน มองไม่เห็นแม้แต่เงาแขนที่ขวางภาพของเก้าอี้อิฐสึก
ในทันที ที่นิ้วของฉัน สัมผัสถึงเก้าอี้ สึกพิลึกพิลั่นก็เกิดขึ้น ฉับพลันโดยรอบก็สว่างขึ้นมาทันใดด้วยความเร็วเพียงกระพริบตาเท่านั้น ฉันอยู่ในห้องแห่งหนึ่ง ห้องใหญ่ และกว้างสุดลูกหูลูกตา พื้นสว่างเป็นสีขาว เพดานแบนเรียบสีดำมืดมิด ขอบของกำแพงยาวจนแสงส่องไปไม่ถึง อากาศเย็นยะเยือกสัมผัสผิวกาย พอมองดูตัวเองก็พบว่าอยู่ในชุดเดิมอันคุ้นเคย หิมะเริ่มร่วงโปรยปรายมาจากเพดานห้อง
พอลองเดินไปรอบๆ ก็เห็นต้นไม้เล็กใหญ่ที่เหี่ยวแห้ง เหลือแต่กิ่ง พอหันกลับทางที่เดินมา เก้าอี้หายไปแล้ว แต่มีโต๊ะแทน โต๊ะไม้เก่าๆ สึกๆ ขาตั้งเป็นซี่ๆ เหมือนลูกกรงคุก เอ๊ะ! หรือจริงๆ แล้ว มันเป็นกรงมากกว่า
พอลองเดินไปรอบๆ ก็เห็นต้นไม้เล็กใหญ่ที่เหี่ยวแห้ง เหลือแต่กิ่ง พอหันกลับทางที่เดินมา เก้าอี้หายไปแล้ว แต่มีโต๊ะแทน โต๊ะไม้เก่าๆ สึกๆ ขาตั้งเป็นซี่ๆ เหมือนลูกกรงคุก เอ๊ะ! หรือจริงๆ แล้ว มันเป็นกรงมากกว่า
ภายในโต๊ะ หรือจะบอกว่าใต้โต๊ะดี มียายแก่คนหนึ่งท่าทางเศร้าๆ หน้าตาอมทุกข์ นั่งคุดคู้อยู่ริมขาโต๊ะสึกๆ ด้วยความรู้สึกสงสัย ฉันจึงเดินเข้าไปหา เห็นในมือยาย กำกระดาษอะไรอยู่ในมือ
"ยายคะ ยายเป็นใคร ทำไมมาอยู่ในนี้" ยายมองมาทางฉันด้วยแววตาที่ใสเหมือนเด็กแล้วตอบว่า
"ยายคะ ยายเป็นใคร ทำไมมาอยู่ในนี้" ยายมองมาทางฉันด้วยแววตาที่ใสเหมือนเด็กแล้วตอบว่า
"ยายชื่อ มินิ" พอมองดูดีๆ สิ่งที่ยายกำอยู่ในมือ คือกระดาษของสมุดจด ซึ่งมีอะไรเขียนอยู่มากมาย
"หนูขอดูกระดาษที่ยายถืออยู่ได้ไหม" คุณยายทำท่าลังเลครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโชว์กระดาษให้ดู แต่ว่า
"อี๋!!!" มันเหม็นมาก แต่ฉันก็กลั้นใจ หยิบกระดาษพวกนั้น และมองดูให้ดีๆ ว่ามันเขียนว่าอะไร แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจมาก
"ขาโต๊ะพังด้านหนึ่ง เอาไว้ใช้หลบหิมะได้นะจ๊ะ" หรือก็คือ
จริงๆ คุณยายไม่ได้โดนขัง แต่แกเข้าไปนั่งเล่นใต้โต๊ะเอง
"ชีวิตยายน่าสงสารมากเลยนะจ๊ะ หนูอยากฟังไหมล่ะ" ยายพูดหลังจากเลื้อยมาจากใต้โต๊ะ แต่ในขณะที่พูดนั้น หน้าตาแกดูเซย(เฉย)เมยมาก ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรยายก็พูดต่อ
"ชีวิตของยายอ่ะ ดิ้นรน ผ่านการต่อสู้มาเยอะ สมัยก่อนนะ มีดสปาต้าไม่ได้กินยายหรอก เพราะยายพกลูกตะกั่ว" ยายพูดไปพร้อมกับซบลงบนโต๊ะอันเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง "เออ หนูก็หน้าตาดูฉลาดดีนะ หนูมีริโคล่าไหม"
"ห๋า?" ฉันงงมากกับคำถามของคุณยาย
"อ้าว นึกว่าฉลาด ที่แท้ก็โง่ ลูกอมไง ลูกอม ไอ้ที่โฆษณามันร้องว่าริโคล่าน่ะ"
เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ เดี๋ยวมาเล่าต่อคราวหลัง
ผมตัดสินใจแล้ว ว่าจะแต่งต่อให้มันเป็นเรื่องราวเดียวกันยาวๆ ไปเลย
แล้วพบกันใหม่ครับ
"หนูขอดูกระดาษที่ยายถืออยู่ได้ไหม" คุณยายทำท่าลังเลครุ่นคิดอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงโชว์กระดาษให้ดู แต่ว่า
"อี๋!!!" มันเหม็นมาก แต่ฉันก็กลั้นใจ หยิบกระดาษพวกนั้น และมองดูให้ดีๆ ว่ามันเขียนว่าอะไร แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจมาก
"ขาโต๊ะพังด้านหนึ่ง เอาไว้ใช้หลบหิมะได้นะจ๊ะ" หรือก็คือ
จริงๆ คุณยายไม่ได้โดนขัง แต่แกเข้าไปนั่งเล่นใต้โต๊ะเอง
"ชีวิตยายน่าสงสารมากเลยนะจ๊ะ หนูอยากฟังไหมล่ะ" ยายพูดหลังจากเลื้อยมาจากใต้โต๊ะ แต่ในขณะที่พูดนั้น หน้าตาแกดูเซย(เฉย)เมยมาก ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดอะไรยายก็พูดต่อ
"ชีวิตของยายอ่ะ ดิ้นรน ผ่านการต่อสู้มาเยอะ สมัยก่อนนะ มีดสปาต้าไม่ได้กินยายหรอก เพราะยายพกลูกตะกั่ว" ยายพูดไปพร้อมกับซบลงบนโต๊ะอันเย็นเยือกดุจน้ำแข็ง "เออ หนูก็หน้าตาดูฉลาดดีนะ หนูมีริโคล่าไหม"
"ห๋า?" ฉันงงมากกับคำถามของคุณยาย
"อ้าว นึกว่าฉลาด ที่แท้ก็โง่ ลูกอมไง ลูกอม ไอ้ที่โฆษณามันร้องว่าริโคล่าน่ะ"
เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ เดี๋ยวมาเล่าต่อคราวหลัง
ผมตัดสินใจแล้ว ว่าจะแต่งต่อให้มันเป็นเรื่องราวเดียวกันยาวๆ ไปเลย
แล้วพบกันใหม่ครับ
椅子 อิซึ แปลว่า เก้าอี้ (อิฐสึก)
広い ฮิโรย แปลว่า กว้าง
机 ซึคุเอะ แปลว่า โต๊ะ
紙 คะมิ แปลว่า กระดาษ
โชเมน แปลว่า สมุด
机 ซึคุเอะ แปลว่า โต๊ะ
苦痛 คุทซึ แปลว่า ความทุกข์
生命 เซยเมย แปลว่า ชีวิต
โซโตะ แปลว่า การต่อสู้
理粉 ริโคนะ แปลว่า ฉลาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น