เมื่อเราตั้งใจมั่นแล้วว่า เราทำได้ และต้องทำให้ได้ (ออกแนวมัดมือชกแฮะ แต่ทำได้จริงนะเออ) เราก็มาทำความเข้าใจถึงกระบวนการเรียนรู้ที่ผ่านๆ มาของสังคมบ้านเรา และหลายๆ แห่งทั่วโลกกันดีกว่า
อ่าน ท่อง จดกันลืม ทำวนไป กระบวนการโดยส่วนมากก็ประมาณนี้ แต่ไหงสิ่งที่ได้มากลับเป็น
"อ่าน ท่อง จดกันลืม ลืม ทำวนไป" ได้หว่า
สมองก้อนนิ่มๆ อันน้อยนิดของเรา แม้จะไม่ถึงกับท่วมไปด้วยขี้เลื่อย แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะร่างกาย ซึ่งมีอาการอ่อนล้าได้ เหมือนกล้ามเนื้อของร่างกายนั่นเอง ซึ่ง อาการอ่อนล้าของสมองคือ ตื้อ มึนๆ อึนๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ แม้จะอัดกาแฟ เครื่องดื่มเอ็ม และเครื่องดื่มกะโหลกควาย หรือโปรตีน น้ำมันปลาเข้าไปแล้ว ก็ยังมึนส์อยู่ดี
ตามข้อมูลที่อ่านพบมา (พบมานานละ) สมองของเรา พร้อมที่จะรับข้อมูล หรือจดจำข้อมูลต่างๆ เป็นระยะเวลา 20 นาที ถ้านานกว่านั้น ก็จะเริ่มไม่มีสมาธิ จำไม่ค่อยได้ ไม่ดีเท่ากับช่วงแรกๆ ควรจะได้พัก สูดอากาศ หรือจิบกาแฟ หาของอร่อยทาน นั่งหลีหนุ่มหลีสาว (ไม่ใช่ละ) สัก 5 นาที แล้วค่อยกลับมาเริ่มใหม่ ก็จะเริ่มจดจำอะไรได้ดีขึ้นอีก
สมาธิ ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งครับ สมาธิก็คือ ความตั้งใจ และการใส่ใจในการจดจำข้อมูลนั่นเอง การนั่งหน้าห้อง ก็เป็นเทคนิคหนึ่งที่ทำให้มีสมาธิจดจ่อ กับข้อมูลที่อยู่เบื้องหน้า (ซึ่งในทางกลับกัน การนั่งหลังห้องก็มีอำนาจลดทอน ความใส่ใจในการจดจำข้อมูล)
เอาล่ะ มาเข้าประเด็นหลักๆ สำคัญๆ กันจริงๆ ละ
ทุกคน น่าจะพอรู้ว่า คนเรามีสมองสองซีก
ข้างหนึ่งใช้เรื่องการคำนวน ความคิดเชิงตรรกะ ถูก ผิด บวก ลบ คูณ หาร ดิฟ อินทิเกรด (พอๆ เยอะ)
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นด้านศิลป์ ภาพ เสียง สุนทรีย์ ดนตรี อะไรก็ตามที่เป็นเชิงแนวหลั่นล้า แต่เวลาเราเรียน เราจำ เราทำยังไงกันครับ
ตะบี้ ตะบัน ท่อง จำ จด กันลูกเดียว นั่นแสดงว่า เราไม่ใช่สมองทั้งสองข้าง ในการช่วยจดจำข้อมูล
ลองนึกถึงประสบการณ์ชีวิตในอดีต อันแสนห่างไกล หรือใกล้ๆ ก็ได้ ทุกคนยังจำรายละเอียดต่างๆ ในช่วงเวลานั้นได้ไหมครับ
อากาศร้อนหรือเย็น ฝนตกหรือมีแดด รู้สึกยังไง ได้ยินเสียงอะไรบ้าง เห็นอะไร มีใครบ้าง ข้อมูลมากมายเลยให้ขุดคุ้ย แม้จะจำไม่ได้เป๊ะ นี่แหละครับ ความจำที่ใช้สมองทั้งสองฝั่ง กุญแจการสร้างระบบความจำชั้นยอด
เอ๊ะ ยังไง ยังงงๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น