Ads

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ทำไมต้องเชื่อมโยง?

    หลายๆ คน คงสงสัย และถามกลับมาว่า ถ้าผมเรียนดี จำดีอยู่แล้ว มานั่งทำแบบฝึกหัดพวกนี้ เปลี่ยนวิธีตำแบบนี้ มันไม่เสียเวลาหรือ
    คำตอบก็คือ "เสียเวลา" ครับ
    แต่ เฉพาะช่วงที่เริ่มฝึกเท่านั้น เพราะหลังๆ มันจะช่วยให้คุณ "จำได้เร็ว และประหยัดเวลาขึ้นอีกมาก"
    เชื่อไม่ลงหรือครับ ผมจะค่อยๆ อธิบายให้ฟัง
1. ข้อดีข้อแรก "เร็ว" 
   1.1 ถ้าผมให้รูปภาพมาอย่างหนึ่ง คุณตอบได้ไหมว่ามันคืออะไร มีลักษณะอย่างไร แน่นอนว่าคุณต้องตอบได้ ถ้ามันเป็นสิ่งที่คุณรู้จัก แต่ถ้าลองจำเป็นคำยาวๆ ดูล่ะ เช่น
      

    กับ หมาสีน้ำตาลหูตั้งตัวหนึ่ง นอนตะแคงอยู่กับพื้น กำลังทำหน้าเบื่อหน่าย
    ระหว่างคุณดูรูป กับอ่านประโยค อ่านประโยคอาจจะต้องใช้เวลา 3-5 วินาที ในขณะที่คุณมองรูปใช้เวลาอาจจะไม่ถึงวินาทีด้วยซ้ำ แต่ได้ข้อมูลที่เท่ากัน
    มันประหยัดเวลาได้มากโขเลยล่ะครับ แต่ไม่ใช่ทุกคำที่เราจะสามารถใช้รูปภาพในการสื่อสารแทนได้ ในทางตรงข้าม  "รูปภาพบางรูปอาจให้ข้อมูลเรามากมายมหาศาลกว่าข้อความเป็นบรรทัดๆ"
    1.2 เพราะฉะนั้น บางครั้ง การจำรหัสหรือจำด้วยรูปภาพจึงมีส่วนช่วย รวมถึงความรู้สึก สีสัน ความติดตาตรึงใจที่เราสามารถผสมไปในนั้นได้ด้วย (พูดง่ายๆ คือทำให้เรามีความจดจ่อในการทำข้อมูล ทั้ง 1.2.1 การผูกสัญลักษณ์ 1.2.2 การตกแต่ง หรือ 1.2.3 สีสันของภาพ) ซึ่งถ้าเราจะมาเอาข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมานี้มาพรรณาเป็นประโยคแล้วล่ะก็ คงต้องเขียนกันจนเริ่มเมื่อยมือเลยทีเดียว
   1.3 ง่ายต่อการทบทวน เพียงแค่มอง ก็ได้ข้อมูลทั้งหมด
    แล้วทำไมเราจึงควรนำข้อมูลมาเชื่อมต่อกันระโยงระยางราวกับใยแมงมุม?
    ไมน์แมพ หรือแผนที่ความจำ มักจะเน้นสิ่งสำคัญให้อยู่ตรงกลาง และแตกยอด แต่หน่อเหมือนกิ่งไม้ แผ่สาขาออกไปเรื่อยๆ
    จริงๆ แล้วสิ่งที่เราเรียนๆ อยู่ก็แผ่ออกไปแบบเดียวกันครับ เหมือนกับต้นไม้ ที่รากสำคัญที่สุด ต่อด้วยลำต้น และแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปอย่างมากมาย จากกิ่งใหญ่ สู่งกิ่งเล็กกิ่งน้อย

    2. การแผ่กิ่งก้านแบบนี้ ทำให้ดูข้อมูลแล้วเข้าใจลำดับความสำคัญ หรือหัวข้อได้ง่ายครับ
    เริ่มจาก บทที่ 1 หัวข้อที่ 1 แล้วก็ข้อ 1.1 กับข้อ 1.2 แต่กว่าเราจะเรียนไปจนถึงหัวข้อย่อยที่ 5 เราคงลืมหัวข้อย่อยแรกๆ ไปแล้ว
    อ่านทีละบรรทัด ทีละหน้า พลิกหน้าก็ลืมเสียแล้ว ในขณะที่ถ้าเอาหัวข้อย่อยทั้งหมดมาประกบติดที่บทที่ 1 และค่อยๆ แผ่ขยาย กระจายรายละเอียดออกไป (2.1&2.2)
    2.3 การวางตำแหน่งของรูปทรง และการแผ่ขยายนั้น ทำให้เราจำหัวข้อย่อยได้โดยไม่ยาก 4 หัวข้อก็เหมือนเหนือใต้ออกตก 5 หัวข้อก็รูปร่างคล้ายดาว 6 กัวข้อก็ดูคล้ายกระดองเต่า
    แล้วก็แยกย่อยออกไปคล้ายๆ กันอีก จะย่อยสักกี่ชั้น ก็สามารถดูได้ง่ายว่าตรงนี้ต่อจากตรงไหน เกี่ยวข้องกับอะไร ในขณะที่มานั่งอ่านทั้งหมด แล้วมายัดในสมองทั้งยวง ตรงไหนอยู่ตรงไหนก็จะไม่ได้เสียแล้ว

    3. สนุก
   นอกจากนี้ เรายังใส่สิ่งที่เราต้องการ สีสัน และรูปร่างลงในข้อมูลที่เราพยายามบันทึกได้ มันทำให้สนุก และทำให้เรามีความใส่ใจ จดจ่อกับมันมากขึ้น ไม่เบื่อ ซึ่งก็มีส่วนช่วยที่ทำให้เราจดจำข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้น
    3.1 การตกแต่ง ยังช่วยให้เราได้พัฒนาทักษะการวางองค์ประกอบด้วย
    3.2 ฝึกวิชาศิลปะ วาดภาพ พัฒนาสมองไปในตัวโดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยจะได้วาดภาพ หรือทำงานศิลปะ
    3.3 ได้แสดงตัวตนออกมา แสดงออกมาในแบบของตัวเอง การที่เราได้แสดงออกในสิ่งที่อยากทำ สิ่งที่เป็น มันช่วยส่งเสริมบุลลิกภาพด้วยนะครับ

    4. ข้อดีถัดมาคือ ง่ายกับการทบทวน (Manage คือจัดการการทบทวน) พอดูรูป หรือโครงที่เราทำขึ้นมาแล้ว เราก็นึกเนื้อหาออก หรือถ้าบางส่วนเรานึกไม่ออก มันก็เป็นแผนที่ ที่ทำให้เรารู้ว่า เราขาดตรงไหน ต้องย้ำตรงไหน (4.1 Fix) ไม่ใช่ว่า ต้องมาย้ำ มาอ่านใหม่ทั้งยวง (4.2 no repeat)
    เหมือนเวลาท่องกลอน ถ้าคุณท่องไม่ได้ท่อนไหน คุณจะมาไล่ท่องทั้งหมด หรือจะท่องเฉพาะท่อนล่ะ
    4.3 ถ้าขาดตกตรงไหน เราสามารถเพิ่มเติมข้อมูลไปได้ง่าย ไม่ต้องลบแก้เขียนใหม่ สามารถแทรกไปได้โดยง่าย แต่ถ้าอัดแน่นไป ก็แปะโพสต์อิทเพิ่มเอาละกัน

    5. อีกข้อคือ การทบทวนของคุณมีน้ำหนักเบา (light =แสงสว่าง หรือหลอดไฟ) กระดาษสรุปไม่กี่แผ่นต่อบท กับที่ต้องมาพกหนังสือเป็นเล่มๆ อันไหนสบายกว่ากัน
    แถมยัง 5.1 สั้น
    5.2 การทำเช่นนี้ ช่วยฝึกให้เราสรุป และจับใจความสำคัญได้ สมัยก่อนตอนผมเรียน ย่อ กับสรุปบทนี่ ทำไม่เป็น อ่านจับใจความไม่ได้ ซึ่งทำให้มีปัญหากับการเรียนในหลายๆ วิชามาก ในขณะที่การทำไมน์แมพ ที่ใช้รูปภาพหรือคีย์เวิร์ดเหล่านี้ เป็นการบังคับให้เราเค้นหัวข้อสำคัญๆ ออกมาโดยปริยาย ซึ่งจะช่วยให้เราคั้นน้ำในเนื้อหาและบทเรียนทิ้งไปได้ จนเหลือแต่เนื้อๆ ที่จำเป็น สำคัญ และต้องเอาไปใช้
    5.3 การทบทวนนั้น ก็ใช้แค่วิธี มองอย่างเดียวเท่านั้น ไล่เส้นไป ไม่ต้องอ่านทีละหลายๆ หน้า

    อย่างดูสรุปรูปที่ผมเอามาวางให้นี่ มันครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดที่ผมพูดหรือเปล่า

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภาษารัก

    ไม่นานมานี้ผมได้เข้าไปใน AppStore แล้วเจอ Application หนึ่งที่ชื่อว่า "DoujuanBible" คือก็ไม่ได้ตั้งใจจะจีบสาวหรืออะไรหรอกนะครับ แค่อยากรู้เนื้อหาข้างในจึงลองโหลดมา (ทุกคนเชื่อผมเนอะ)
    เมื่อลองอ่านไปเรื่อยๆ มีข้อคิดน่าสนใจมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เน้นในเรื่องของการจีบผู้หญิง โดยเฉพาะเป้าหมายของเขาคือ จีบผู้หญิงสวย
    แต่ไม่ยักกะมีการกล่าวถึงการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวเลย มีแต่เรื่องการจีบ หาแฟนเยอะๆ มีหลายคนพร้อมกัน เสริมสร้างให้เกิดความนมหัก เอ้ยอกหัก
    คราวนี้ก็ย้อนกลับมาที่หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่าน และเคยเอาไปใช้แล้ว ชื่อ "ภาษารัก" พอคิดๆ ดูแล้วยังกับหนังคนละม้วน
    คราวที่แล้วบอกไว้ว่าจะลองทำไมน์แมพให้ดู ก็ตั้งใจไว้แหล่ะว่า เล่มนี้ก็คือหนึ่งในตัวเลือกนั้น
    แล้วหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับอะไร มันเกี่ยวกับ "ภาษารักครับ"
หัวใจคือรัก ส่วน L คือ Language แปลว่าภาษาครับ
    หนังสือเล่มนี้บอกว่า ความรักของทุกคนไม่เหมือนกันครับ คือผมรักคุณ คุณรักผม มันต่างกัน แล้วต่างกันยังไง
    เวลาคนเรารักกัน ตอนแรกๆ ก็รู้สึกว่าเขาดีทุกอย่าง เขาทำทุกอย่างให้เรา รักกันเสียปานจะแหกตูดดม แต่พอผ่านช่วงเวลาหนึ่ง ก็เริ่มลดดีกรี มีปัญหา ตามราวี ชีวีไร้ความสุข ทุกข์สุมทรวง หวงของชั้น นั่นของเธอ เผลอก็กลัว ผัวหน่ายหนี ผีมายั่ว มั่วสตรี
   พอละๆ สรุปง่ายๆ คือ มีช่วงหมดโปรฯ พอหมดโปรแล้ว แต่ละคนก็ยังต้องการความรัก และแสดงความรักซึ่งกันและกันอยู่ครับ แต่จะแสดงออกมาในแนวทางของตัวเอง แนวทางที่คิดว่าใช่
    พอออกมารูปแบบนี้ แม้จะอยู่ด้วยกัน ช่วยกัน พูดกัน แต่ก็กลับรู้สึกถึงระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน อาการตกหลุมรัก และเกิดโปรฯ ยังสามารถเกิดกับคนอื่นๆ ได้เรื่อยๆ (เพราะสิ่งนี้เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานในการดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ครับ ในขณะที่สายสัมพันธ์ที่อยู่กันยาวนานอย่างสามีภรรยานั้นไม่ใช่สัญชาตญาณพื้นฐาน)
หัวใจสีดำ เป็นหลุมรูปหัวใจครับ ตกหลุมรัก
    พอเป็นอย่างนี้ปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว บ้านแตกสาแหรกขาด กิ๊ก ชู้ ก็เกิดขึ้น กลายเป็นปัญหาสังคม
    ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดครับ แต่เป็นผลจากความไม่เข้าใจกันทั้งนั้น เพราะความรัก ก็มีภาษาของมัน และถ้าคนเราคุยกันคนละภาษา มันก็ไม่รู้เรื่องใช่ไหมละครับ
    คราวนี้ ภาษารักคืออะไร และมีอะไรบ้าง ตอบง่ายๆ คือกิจกรรม ที่คนใช้แสดงความรัก และรับรู้ความรักนั่นเอง ซึ่งโดยหัวข้อใหญ่ๆ แล้ว ก็มีทั้งหมด 5 ภาษาด้วยกัน
    เริ่มมาจากทางซ้ายคือ
1. การให้ของขวัญ (ถือไอศกรีมอยู่ เป็นของขวัญ)
2. คำพูดให้กำลังใจ (โทรศัพท์ แทนการพูดคุย)
3. การสัมผัส (เสือ ต้องตะปบเหยื่อ สัมผัสตัวครับ)
4. การใช้เวลาร่วมกัน (รถ คือต้องนั่งด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ใช้เวลาร่วมกัน)
5. การทำบางสิ่งบางอย่างให้ (จระเข้ กลับมาเห็นไข่ฟัก แสดงว่ามีคนฟักไข่ให้)
    นี่คือ 5 สิ่งหลักที่เราได้จำแนกออกมาเพื่อสื่อสารถึงกันและกัน และรับรู้ความรักความใส่ใจ เดี๋ยวเรามาลงลึกในรายละเอียดอีกสักนิดหนึ่ง

    1. การให้ของขวัญ
    คนกลุ่มหนึ่ง ต้องการสิ่งที่จับต้องได้ มองเห็นได้ ระลึกถึงได้ ในขณะที่เราสั่งอาหารในบางร้าน เราได้แต่รอรายการของเราว่าเมื่อไรจะได้ บางครั้งก็มีป้าย มีที่ส่งสัญญาณ ทำไมถึงต้องมาลงทุนกับของแบบนี้
    เพราะก็มีบางคนที่ต้องการความมั่นใจ ความแน่ใจ โดยสิ่งของทดแทนที่สามารถจับต้องได้ ในเรื่องความรักก็เช่นกัน ทำไมต้องมีแหวนแต่งงาน ทำไมบางคนต้องการของขวัญเนื่องในโอกาสพิเศษ ต้องได้ช็อกโกแลต และดอกไม้ในวันวาเลนไทน์
    คนที่มีคนรักเป็นคนที่สื่อสารความรู้สึกด้วยวิธีนี้ ก็อย่าเพิ่งโอดครวญเรื่องค่าใช้จ่ายไป บางครั้งงานที่ทำด้วยมือ หรือความตั้งใจ ก็ให้ผลลัพธ์ไม่ต่างกันหรอกครับ หรือจะไปเด็ดดอกไม้มาสักดอกมาทัดหูก็ได้ (ยกเว้นจะมีใครแพ้ดอกไม้)
    แต่อีกสิ่งหนึ่ง ที่คุณจะให้เป็นของขวัญได้ คือตัวคุณเอง (ในยามที่เขาต้องการ หรืออ่อนแอ) มันจะต่างกับการใช้เวลามีค่าร่วมกันนิดหนึ่งครับ เอาเป็นว่าเข้าใจแค่นี้ก่อน เดี็ยวมันจะยากมาก เราจะพาไปสู่ข้อถัดไป

    2. คำพูดให้กำลังใจ
    กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ต้องอยู่กับคนพูดจาดีๆ ถ้าอยากทำร้ายน้ำจิตน้ำใจ ก็พูดหยาบคาย ด่าว่า ส่อเสียด จะมีผลมาก
    คำพูดเป้าหมายเดียวกัน แต่วิธีพูด มักจะมีผลกับกลุ่มนี้มาก เช่น ไปล้างจานสักที และช่วยล้างจานให้หน่อยนะ ผมอยากจะบอกว่า คำพูดเชิงออกคำสั่งกับกลุ่มนี้ เป็นสิ่งต้องห้าม
    ในขณะเดียวกัน การพูดชมเชย ขอบคุณ จะเป็นผลบวกมากๆ นอกจากนี้ ก็มีคำพูดปลอบโยน ช่วยเสริมความมั่นใจ แล้วไม่ใช้น้ำเสียงประชดประชันนะครับ
    อีกอย่างคือ "ชมฉันสิๆ" แต่ก็ต้องชมจากใจจริงๆ นะครับ

    3. การสัมผัส
    ลองนึกดูว่า เราได้เป็นแฟนกับบุคคลผู้หนึ่ง แล้วไม่เคยแม้แต่แตะตัวกันเลย มันรู้สึกพิลึกๆ หรือไม่ แต่ถ้าแตะกันแต่ละครั้ง เป็นฝ่ามือ ลำแข้ง และกำปั้น อันนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
    ตัวอย่างง่ายๆ สำหรับการสื่อสารของความรักผ่านทางการสัมผัส ก็เช่นการจับมือ กอดแขน กอดตัว จับไหล่ โอบ ลูบหัว และอื่นๆ
    เช่นกัน สำหรับพวกที่ชอบสื่อสารและรับความรักด้วยการสัมผัส การไม่แตะตัวเลย หรือการเลี้ยงด้วยลำแข้ง ประเคนเข่า ประเคนหมัดให้รับประทานเป็นอาหาร ก็เป็นการทำร้ายน้ำใจกันได้มากเลยทีเดียว
    แต่ไม่ใช่ว่าสักแต่สัมผัสนะครับ เพราะข้อแรก แต่ละจุดมีความไวต่อการสัมผัสไม่เท่ากัน ข้อสอง บางคนต้องการรายละเอียด เช่น การนวดคลึง การค่อยๆ ลูบไล้ ฉะนั้นคุณก็ต้องถามคู่ของคุณด้วย ว่าชอบแบบไหน เพราะถ้าหากคู่ของคุณชอบเซ็กซ์ แต่คุณเอาแต่นวดเท้าเขา วันเคืนดี เขาอาจจะเอาเท้ามานวดหน้าคุณก็เป็นได้

    4. การใช้เวลาร่วมกัน
    ก็อยู่ด้วยกัน ตัวติดกันทุกวันแล้ว ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย ถ้าคุณเข้าใจภาษารักของคู่ถูกแล้ว ก็แสดงว่าคุณคงเข้าใจผิดระหว่างการอยู่ใกล้ๆ กัน กับการใช้เวลาร่วมกัน มันต่างกันหรือสองสิ่งนี้ มันต่างกันมากครับ
    สมมุติคุณยังอยู่ในวัยเอ๊าะๆ นั่งเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย ในวิชาที่มีคนเรียนร่วมร้อยคน คุณอยู่กับผู้คนมากมายร้อยคนครับ แต่คุณไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าทั้งหมดนั่งเรียนใครเรียนมัน วาดรูปใครวาดรูปมัน เล่นมือถือใครมีถือมัน กินขนม.....พอๆ ชักยาว ก็คร่าวๆ แบบนี้
   แล้วการใช้เวลาร่วมกันคืออะไร ก็คือการทำกิจกรรม หรือสิ่งใดๆ ร่วมกัน โดยที่ความสนใจเราอยู่คู่ของเรา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการสนทนากัน
    จ้อๆๆๆ อืม....อืม..... จ้อๆๆๆ อืม.....อือฮึ
    พอเจออย่างนี้สักพัก ฝ่ายที่จ้อมีสิทธิ์ตบกบาลฝ่ายอือหัวทิ่มได้นะครับ พูดง่ายๆ ใส่ใจฉันสักนิดเถิด

    5. การทำบางสิ่งบางอย่างให้
    ก็ตามหัวข้อเลยครับ เช่น เก็บของ จัดบ้าน ล้างรถ ฯลฯ แต่ถ้าอยากรู้ว่าสิ่งไหนมีผลมากที่สุดก็ถามคู่ของคุณดู
    จริงๆ แล้ว ภาษารักทั้ง 5 นี้ มีส่วนละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก เพราะไม่ว่าการพูดจา หรือการทำบางอย่างให้ มันก็ไม่อาจตอบโจทย์ เช่น คุณกวาดบ้านถูบ้านให้เป็นประจำ แต่คู่ของคุณไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่สนใจเรื่องอยากให้ล้างรถมากกว่า การตอบสนองของความรัก ก็ไม่มีผลเท่าไร หรือมีก็น้อยมาก
    ฉะนั้น การที่แต่ละคนได้เข้ามาหันหน้าคุยกันบ่อยๆ ปรับความเข้าใจกันบ่อยๆ จึงทำให้ชีวิตคู่ยืนยาวได้ แต่แน่นอนว่า ต้องมีความเข้าใจอย่างถูกต้องด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น ก็จะหลงทางอยู่ในเขาวงกต


    อยากจะบอกว่า พออ่านแล้วทำออกมา มันกลับผิดคาดมาก ปรกติ ไมน์แมพมันจะขึ้นยั้วเยี้ยๆ เต็มไปหมด เพราะมีหัวข้อย่อยนั้น ข้อเสริมตรงนี้ แต่พอทำอันนี้ออกมา ดันเหลือแต่หัวข้อหลักแฮะ ก็เป็นตัวอย่างนะครับ
    ส่วนใครต้องการบทความหรือชื่อหนังสือ ก็ติดต่อมาได้ครับ

    แล้วพบกันใหม่รอบหน้าครับ

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ตัวอย่างการใช้งานจริง ภาษาญี่ปุ่น

    พูดมาตั้งหลายรอบ อธิบายมาก็ตั้งหลายหน แต่ก็ไม่มีตัวอย่างจริงๆ ชัดๆ ให้ดูเสียที เลยตัดสินใจว่าจะเขียนบทนี้ขึ้นมา ซึ่งกระผมขอออกตัวไว้ก่อนเลยว่า อันนี้เป็นตัวอย่างภาษาญี่ปุ่น ฉะนั้นตัวที่ใช้กระตุ้นเพื่อเรียกความทรงจำ มักจะเป็นตัวละครจากการ์ตูนญี่ปุ่น
    จริงๆ ก็แล้วแต่ถนัดของแต่ละคนล่ะนะครับ ลายเส้นอาจจะไม่สวยหรู ก็ไม่ว่ากันนะ
    ดูรูปนี้ก่อน ให้เวลานึก และลองเดาเล่นๆ ดู รู้จักตัวละครเหล่านี้กันหรือเปล่า

    ตัวละครตัวนี้ คือ “บรูค” คุณโครงกระดูกจากกลุ่มโจรสลัดหมวกฟาง (One Piece) เมื่อก่อน บรูคจะร้องเพลงเกี่ยวกับเหล้า “โยโฮๆๆ ....” เราก็เอาเพลงนี้มาแปลงเป็น “โอโย” ส่วน “กุ” มาจากเสียงผีหลอก “กุ๊กๆ กู๋” แล้วผมก็วาดภาพให้บรูคใส่ชุดว่ายน้ำ จมอยู่ในน้ำครึ่งท่อน
    “โอโยกุ” แปลว่า “ว่ายน้ำ” ประโยคเต็มๆ คือ “โอโยกุ โคโตะ กะ เดคิมาซุ” (อิงจากหนังสือ 3 วินาทีประโยคภาษาญี่ปุ่น ของ อ.ฟูจิ)
    ซึ่งแปลว่า “สามารถว่ายน้ำได้” (โคโตะ ผมใช้ตัวละครจากเกมตัวหนึ่งมาช่วยจำ ส่วนเดคิมาซุ ก็ดูคล้ายๆ เดคิซูงิ จากเรื่องโดเรมอน ซึ่งเก่งทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง)

    "แล้วถ้าคนที่วาดรูปไม่เป็นล่ะทำยังไง" คือจริงๆ ไม่ต้องวาดรูปก็ได้ครับ แค่วาดภาพจดจำไว้ในหัวก็พอแล้ว เพียงแต่ว่า การทำเป็นหลักฐานที่เห็นได้ จับต้องได้ จะช่วยกระตุ้นให้จำได้มากกว่า และง่ายต่อการทบทวนซ้ำ แทนที่จะมาไล่นึกย้อนหลัง เพราะข้อมูลที่จดจำ บางครั้งมีปริมาณเยอะ แถมยังไม่ได้จัดหมวดหมู่อีกต่างหาก

    ตัวละครถัดมา ถ้าใครดูไม่ออก แสดงว่าไม่ค่อยได้เล่นเกมต่อสู้ เขาผู้นี้ คือ “ริว” จากเกมดังระดับตำนาน “สตรีทไฟเตอร์” นี่เอง ในภาพ ดูท่าทางเฮียแกกำลังครุ่นคิดอยู่หน้ากระทะใช่ไหมครับ ที่ให้ท่านี้เพราะว่า คำนี่ออกเสียงว่า “เรียวริ” ชื่อพี่แกจะเพี้ยนไปหน่อย ส่วน “ริ” มาจากริเริ่ม หรือคิดนี่เอง ส่วนคำว่า “ซุคุรุ” ที่เขียนเพิ่มไว้ มักใช้กับหลายคำ เช่น เล่นเกม (เกมุโอะซุรุ) ตีกอล์ฟ (โกรุฟุโอะซุรุ) ซึ่งคำนี้ผมจำไว้ต่างหาก เพราะมันใช้หลายตัว แต่ทำอาหาร มีคำว่า “คุ” ซึ่งจะใช้ภาพ “คุก” ก็ได้ (ซึ่งไอ้ตัว “คุ” นี่ ผมจับเข้า “คุก” หลายภาพเลยล่ะ)
    “เรียวริ โอะ ซุคุรุ” (ลืมบอกไป โอะ เป็นคำเชื่อมคำหนึ่ง ใช้บ่อยๆ อยู่ บางครั้ง ผมจะวาดตัววงกลม เป็นตัวย้ำว่ามีการใช้ แต่บางคำ ใช้คำอื่นเป็นตัวเชื่อม) แปลว่า “ทำอาหาร” ประโยคเต็มคือ “เรียวริ โอะ ซุคุรุ โคโตะ กะ เดคิมาซุ” ซึ่งแปลว่า “สามารถทำอาหารได้”
    ผมก็ไม่ได้เก่งภาษาญี่ปุ่นเป็นพิเศษอะไรนะครับ ถ้าผิดพลาด หรือไม่ใช่ยังไง ก็ชี้แจงด้วย จะได้แก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสม
    เอ้า! มาต่อกันเลยดีกว่า
    ถ้าดูรูปนี้ดีๆ จะเห็นรูปอีกา สีดำๆ (มองให้เป็นอีกานะ) แล้วก็คำว่า “อาริมาซุ” และ “อิมาซุ” (ซึ่งผมสร้างภาพไม่ออกจริงๆ) และเส้นแบ่งสีดำข้างบน
    อันนี้คือหมวดว่าด้วยคำว่า “มี” โดย “อาริมาซุ” ใช้กับสิ่งไม่มีชีวิต และ “อิมาซุ” ใช้กับสิ่งมีชีวิต (แต่เหมือนจะมีข้อยกเว้นบางกรณี)
    ในรูป มีคนถือ “เคียว” และเด็ก 2 คน “ได” แปลว่า 2 เป็นภาษาทางวิทยาศาสตร์ (ถ้าผมจำไม่ผิด) “เคียวได”
    “เคียวได กะ (กา) อิมาซุ” แปลว่า “ฉันมีพี่น้อง”
    ต่อมมา จะยกตัวอย่างที่เดียวสามประโยครวด ว่าด้วยความ “ถนัด” 
    เริ่มจากคำหลัก ดูแถบบนก่อน No ปิกาจู “กะ” คนโทรศัพท์ “โทคุย” “Desu จำไว้ว่ามันโทรฯคุยนานมาก มันถนัดคุยโทรศัพท์ ส่วน “โนกะ” จำเป็น ปิกาจู ตะโกนว่า No ก็ได้
    อันแรกจากซ้ายสุด “เอะ โอ คาคุ โนกะ โทคุย เดซุ” แปลว่า “ถนัดวาดรูป” (หมอนั่น คือ “คาคุซึ” หนึ่งในแสงอุษา จากเรื่อง นารุโตะนี่เอง)
    “ชาชิน โอะ โทรุ โนกะ โทคุย เดซุ” แปลว่า “ถนัดถ่ายรูป” (มีปัญหา กับการลืมชินมาก เลยเขียนย้ำไปว่า “ชาชิน” หรือจำว่า เย็นชืดก็ได้ รอจอชินละ ตัว “โอะ” ตอนแรกวาดไว้ แต่จำไม่ได้ จึงย้ำด้วยสีแดง ให้รู้ชัดๆ ว่า มันมีความหมาย เป็นคำเชื่อมด้วย และสุดท้าย “คาซาม่า โทรุ” จากเรื่อง ชินจัง)
    ส่วนคำสุดท้าย “ไทโกะ โอะ ฮานะซุ โนกะ โทคุย เดซุ” แปลว่า “ถนัด พูด ภาษาไทย” (ตัวนี้ ซ่อมหลายมาหลายครั้งมาก อย่างที่เคยอธิบายไปแล้วว่า ถ้าเชื่อมโยงไม่แข็งแรงพอ จะนึกไม่ออก ตอนแรก จำคำว่า “ไท” (ไทย) ได้ตัวเดียว แต่อีกคำ โกะ  หรือ โนะ นี่จำไม่ได้ จึงวาดรูปกลอง ซึ่งมาจากเกมกลอง “ไทโกะ” แล้วก็ตัวโอ ซึ่งลืมบ่อยๆ เหมือนกัน จะเห็นการซ่อมในรูปด้านล่าง ส่วนดอกไม้ คือ “ฮานะ” ในภาษาญี่ปุ่น ถือถ้วยซุป “ซุ”)

    ไมน์แมพ (mind map) ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ดีและช่วยในการจำและทบทวนครับ แต่ถ้าผมเอาภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดมาเขียนเป็นแผนที่ มันจะไม่พอเอา ฉะนั้น ก็จะต้องทำไมน์แมพย่อยๆ แยกออกมาเยอะๆ ยิ่งทำตามหัวข้อยิ่งดี แต่กระผมศึกษาแบบไม่ค่อยมีไกด์ไลน์นี่สิ เลยยังไม่รู้จะแบ่งเป็นหมวดยังไงดี
    รอบหลังจากนี้ จะหาตัวอย่างข้อมูลในหนังสือ มาทำเป็นไมน์แมพ ให้ดูละกัน

    แล้วพบกันใหม่นะครับ

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิธีการจดจำไพ่ และการจำโดยวิธีเดินทาง

    ก่อนอื่น ขอกล่าวขอโทษด้วยครับที่หายไปนาน เพราะพึ่งรู้ตัวว่า กดอัพบล็อคแล้วไม่ได้เช็คว่า มันอัพแล้วจริงหรือเปล่า สรุปคือ ว่างเปล่า เหอะๆๆ

    เอาล่ะจะมากล่าวถึงวิธีการจดจำไพ่ แต่ผมอยากให้ดูคลิปสั้นๆ คลิปหนึ่งก่อน แล้วเราจะมาคุยกัน
ภาพ Low Quality อย่างแรง

    วิธีการจำแบบนี้ มีขึ้นมานานมากแล้ว ตั้งแต่ก่อนคริสตกาล ตามตำนานเล่าว่า กวีกรีกคนหนึ่งที่ชื่อ “ซิโมนิเดส” ต้องออกมานอกกลางฉลองในพระราชวังกลางคัน เพื่อมาพบกับชายสองคนด้านนอก แต่เมื่อออกมาเขากลับไม่พบใคร ทันใดนั้นก่อนที่เขาจะได้กลับเข้าไป ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น ความสั่นสะเทือนรุนแรงเสียจนทำให้พระราชวังถล่มลงมา แขกทุกคนในงานเสียชีวิต ซิโมนิเดส เลยต้องมาระบุตัวผู้ตายที่มาร่วมงานโดยวิธีการนึกถึงตำแหน่งของแขกต่างๆ ที่อยู่ภายในงานนั่นเอง ระบบนี้ ที่มีชื่อว่า “โลไซ” (แปลว่าตำแหน่ง) จึงเกิดขึ้น
    ในนิทานต่างๆ ที่คนเล่าต่อๆ กันมาอย่างยาวนาน ในสมัยที่ยังไม่มีการจดบันทึกก็เช่นกัน เนื้อเรื่อง กับเหตุการณ์ต่างๆ มันจะผูกกับฉาก และสถานที่เสมอๆ

    โอเค กลับมาเรื่องของไพ่กันต่อ แต่ก่อนเข้าประเด็นขอถามคำถามเกี่ยวกับคลิปแรกนิดหนึ่ง คำถามมีอยู่ว่า
    ในคลิป คุณสังเกตสิ่งใดบ้าง?
    ยากไปไหม ผมบอกละกันว่า ในคลิป จะมีจุดที่ เหมือนเราจะหยุดมองอยู่ ประมาณ 10 จุด อันได้แก่
    เตียงชั้นบน        ฟูกด้านล่างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส        ฟูกข้างๆ รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า        ตู้กระจก        ประตูไม้
    ตู้ติดหน้าต่างที่กองเสื้อผ้าไว้        เก้าอี้ออกกำลังกายที่วางผ้าไว้ (อีกแล้ว รกเนอะ)    ตู้ไม้สีเข้ม    ราวตากผ้า
    และ ประตูห้องน้ำ

    ตำแหน่งเหล่านี้ คือตำแหน่งที่ผมใช้งานจริงครับ ในการจดจำไพ่ แต่ว่า แม้เราจะมีตำแหน่งขนาดนี้ เราก็ยังไม่สามารถจำไพ่ได้อยู่ดี อีกสิ่งที่ต้องมีคือ “รหัสประจำไพ่” ครับ  
    ถ้าถามว่าทำไมต้องมีรหัส คำตอบคือ มันจะช่วยให้คุณจดจำง่ายขึ้น และไม่สับสน ไพ่สำรับหนึ่ง มี 52 ใบ 4 ดอก ดอกละ 13 ใบ นั่นหมายความว่า ทุกใบในกอง เป็นใบที่มีเลขซ้ำกัน ผมก็ยังไม่เคยลองแบบจำไพ่เป็นไพ่นะ แต่คิดว่าก็คงสับสนไม่น้อย
    รหัสที่ว่าคือ สัญลักษณ์ สิ่งของ บุคคล หรือตัวละครใดๆ ก็ตาม ที่คุณมองเห็นไพ่ใบนี้แล้วนึกออก หรือคุณจะคิดรหัสมาหมดโดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับไพ่เลยก็ได้ แต่มันจะใช้เวลาจำ และเวลานึก ค่อนข้างนานเลยทีเดียว
    ผมมีคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการใส่รหัส คือ ดอกแต่ละดอก มีความหมายคือ

    โพธิ์ดำ (ดาบ)              หมายถึง    ความตาย
    โพธิ์แดง (หัวใจ)           หมายถึง    ความรัก
    ข้าวหลามตัด (สีแดง)   หมายถึง    ความมั่งคั่ง
    ดอกจิก (สีดำ)              หมายถึง   ความเฉลียวฉลาด

    เลขแต่ละตัวก็มีความหมายนะครับ แต่ผมขอละไว้ละกัน ตัวอย่างไพ่ของผม เดี๋ยวจะแทรกอธิบายไว้ในวิธีนะครับ

    เมื่อได้รหัสสำหรับไพ่เรียบร้อยแล้ว ก็พร้อมสำหรับการทดลองจำไพ่ ผมแนะนำว่า เริ่มจากทีละดอก หรือไม่กี่ใบก่อนก็ได้ เพราะมันจะนาน และอาจทำให้เบื่อไปก่อน ล่าสุดที่ผมลองจับเวลา ผมยังใช้เวลาประมาณ 7 นาที ในการจำสำรับเดียว
    ภาพแรกในคลิป ผมมองที่ปลายเท้าตัวเอง จู่ๆ ก็มีหอกแทงทะลุไม้ออกมา (4 โพธิ์ดำ หอกรูปร่างมันแหลมๆ และช่วงแรกๆ หอกของผมมักจะแทงออกมา 4 มุม) ที่ปลายหอก มีเบ็ดตกปลาติดมาด้วย (J ดอกจิก กอร์น ฟรีค (ตัวการ์ตูนจากเรื่อง ฮันเตอร์xฮันเตอร์ ช่วงแรกๆ ในเนื้อเรื่อง มีเบ็ดตกปลาเป็นอาวุธ คล้ายตัว J) พอมองลงไปข้างล่าง ผมก็เห็นพระราชา กำลังออกกำลังกายอยู่บนโต๊ะ แถมยังตั้งอยู่บนฟูกเสียนี่ (K ข้าวหลามตัด และ 4 ดอกจิก โต๊ะเรียนทำให้ฉลาด และมักมี 4 ขา) ผมลงมาข้างล่าง ฟูกข้างหน้าต่าง มีซาคิวปัส นอนเล่นหลอดไฟอยู่ (6 โพธิ์แดง ปีศาจสาว ที่มักทำให้เกิดฝันแนวลามก และสูบพลังชีวิต 2 ดอกจิก เลขมันโค้งๆ เหมือนหลอดไฟ เวลาคิดอะไรออก)พอไปที่หน้ากระจกมีขวดเหล้าดองตั้งอยู่ ข้างในมีหัวใจด้วย ( 8 ข้าวหลามตัด คล้ายน้ำเต้าที่ให้โชคลาภ แต่หนังจีนมักเอามาใส่เหล้า 3 โพธิ์แดง ก็หัวใจตรงๆ เลยนั่นล่ะ)
    ผมว่าเอาแค่นี้ก็พอ เพราะเดี๋ยวบทความมันจะยาวมากกว่านี้ ที่เหลือก็วางรหัสไพ่ ในตำแหน่งไปเรื่อยๆ ตัวละครมีปฏิสัมพันธ์กับคุณก็ยิ่งดี เพราะจะทำให้นึกง่าย

    หลักๆ ก็มีวิธีแค่นี้เองครับ ที่เหลืออยู่ที่การฝึกฝนเท่านั้นเอง ก่อนไป ผมมีคลิปอีกอัน อธิบายย่อๆ เพื่อใครขี้เกียจอ่าน หรือฟังอธิบายอีกที

    สงสัยให้คอมเมนต์ ชอบกดไลค์ อยากรู้เพิ่มเติมกดsubscribe แล้วพบกันใหม่ครับ


วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

มาผจญภัยกันดีกว่า #2

    ขณะที่กำลังพิมพ์ภาคต่อนี้ ผมก็กำลังอยู่บนรถไฟที่โยกเยกอยู่ หวังว่า มือถือผมคงไม่ตกพื้นดังแป่ก! นะ
    หลังจากที่มาพักตากแอร์กันหน้า 7-11 คุณรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ จึงลุกขึ้น และเริ่มมองไปรอบๆ
    ในบรรดาป้ายโฆษณาสีขาวดำ ที่แปะไว้เต็มกระจกของ 7-11 คุณก็สะดุดกับโพสต์เตอร์แผ่นหนึ่งแผ่นเดียวที่มีสีสัน
    โพสต์เตอร์ใบนั้นมีสีขาวดำเช่นกัน ส่วนที่มีสี มีเฉพาะรูปภาพที่เป็นรูปถ่ายเท่านั้น
    มันคือใบประกาศจับ และรูปในใบประกาศจับนั้น ก็ทำให้คุณรู้สึกแปลกใจ อย่างงมาก
    มันคือรูปของตัวตลกคนหนึ่ง มีใบหน้าสีขาว มีผมหยิกๆ สีแดง คิ้วก็สีแดง และรายละเอียดในใบประกาศจับนั้น ระบุความผิดไว้ว่า
    "แสดงการรื่นเริงในช่วงการไว้อาลัย"
    คุณก็เข้าใจนะ ว่าเขาเป็นตัวตลก ซึ่งมีหน้าที่ที่จะต้องทำตัวรื่นเริง จึงรู้สึกสงสารเขานิดๆ
    คุณลุกขึ้นยืน และมองไปรอบๆ เพื่อหาห้องน้ำ ทันทีที่เห็นป้ายเครื่องหมายรูปผู้ชายและผู้หญิง คุณก็เดินตรงไปทางนั้นทันที
    ห้องน้ำสะอาดมาก ทุกสิ่งเป็นสีขาว และมีเครื่องปรับอากาศด้วย สิ่งที่ไม่ได้เป็นสีขาว คือพวกโลหะจำพวกก๊อกและท่อในห้องน้ำเท่านั้น
    ขณะที่ล้างมีอยู่ คุณก็สังเกตว่ามีคนล้างมืออยู่ข้างๆ ทันทีที่หันไปมอง คุณก็พบกับ
    "ตัวตลก" ที่อยู่ในใบประกาศจับ
    และบังเอิญเหลือเกิน ที่คุณกับตัวตลกนั่น ล้างมือเสร็จพร้อมกันพอดี คุณทั้งคู่ เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกัน และเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อ ที่เจอตำรวจ 2 คน อยู่ด้านนอกพอดี

    ตำรวจมองมาทางพวกคุณทั้งสอง วิ่งรี่ตรงเข้ามา และตะโกนว่า "หยุดนะ ทั้งสองคน นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ"
    ด้วยความตกใจ ทั้งคุณและตัวตลก ก็ได้วิ่งหนีไปทางเดียวกัน ไปหาเป็ดของคุณ ตำรวจก็วอวิทยุ และขอกำลังเสริม เพื่อจะล้อมจับคุณ
    คุณมาถึงเป็ด พร้อมกับตัวตลก กระโดดขึ้นเป็ดไปด้วยกัน และบินออกไปทันที ตอนนี้คุณโดนสรุปเป็นผู้ร่วมสมคบคิดเรียบร้อยเสียแล้ว

    เป็ด ได้พาตัวตลกกับคุณเดินทางไปไกลแสนไกล พอมองลงไปข้างล่างอีกที ก็มองเห็นแต่ผืนน้ำอันกว้างไกล ท้องฟ้า ก็มีแต่ความมืดครึ้ม เหมือนจะมีพายุก็ไม่ปาน ไม่นานฝนก็เริ่มลงเม็ด ตัวตลกที่นั่งอยู่ข้างหลังคุณก็มุดเข้าไปหลบฝนในเสื้อของคุณ ด้วยน้ำหนักของทั้งสองคน เป็นจึงค่อยๆ บิน ต่ำลงๆ พลันคุณก็เห็นเรือใบลำใหญ่แบบเก่าลำหนึ่ง จึงให้เป็ดบินตรงไปยังเรือลำนั้น
    เรือใบลำใหญ่ ดูเก่าซ่อมซ่อ ใบเรือก็ขาดวิ่น ทันทีที่คุณมาถึงเรือ ไม้กระดานก็สงเสียงดังออดแอด ตามแรงเหยียบ คุณรีบวิ่งตรงไปที่ประตูเคบิน โชคดี ที่มันไม่ได้ล็อค ทั้งสาม ได้เข้าไปในห้อง และปิดประตู ในห้องมืดสนิท คุณหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋า และกดปุ่มเปิดหน้าจอ ทันไดนั้น ห้องก็สว่างไสว

    ภายในห้อง เต็มไปด้วยสีชมพู ทั้งเก้าอี้ โต๊ะ ตุ๊กตาหมี ริบบิ้น เตียง ผ้าห่ม หมอน และหมอนข้าง
    พอหันมองไปด้านหลัง ก็เห็นประตูไม้ สีชมพูเข้มหนี่งบาน รูปร่างต่างกับประตูที่เพิ่งเปิดเข้ามาอย่างสิ้นเชิง ยังไม่ทันที่คุณจะหายตกตะลึง ตัวตลก กับเจ้าเป็ดก็ไปกระโดดเล่นบนเตียงเสียแล้ว เมื่อมองไปที่โต๊ะดีๆ คุณเห็นขวดแก้วเล็กๆ อยู่บนโต๊ะสองขวด คุณหยิบขึ้นมาดู ขวดหนึ่งเป็นน้ำใสๆ มีป้ายแปะอยู่ที่ข้างขวดว่า
    "อย่าดื่ม" ส่วนอีกขวดเป็นน้ำใสๆ สีชมพู เขียนไว้ว่า "ดื่มเมื่อต้องการจะดื่ม"
    ด้วยคำแนะนำพิลึกที่แปะไว้ข้างขวด คุณจึงวางทั้งสองขวดลงบนโต๊ะดังเดิม

    "ก๊อกๆ" มีเสียงเคาะประตู ดังขึ้น คุณหันไปมองด้วยใจระทึก ยังไม่ทันที่จะคิดอะไร ประตูก็เปิดออก
    คนคุ้นหน้าเปิดประตู้และเดินเข้ามาในห้อง พร้อมกับพูดว่า
    "ตื่นได้แล้ว"
    ฉับพลัน คุณก็พบว่าตัวเองอยู่บนเตียงนอนเหมือนเพิ่งจะตื่น สีชมพูในห้องที่แสบตาเมื่อกี้ไม่หลงเหลืออยู่เลย ทุกอย่างกลับเป็นสิ่งปกติในชีวิตประจำวันดังเดิม



    ก็พอเอาคร่าวๆ ละกันครับ เดี๋ยวมันจะยาว ยืดเยื้อ และนอกประเด็นมากกว่านี้ และแน่นอนว่า เราก็มีคำถามเช่นเคย คำถามคือ
    1. ที่ 7-11 คุณเจออะไร
    2. คุณเจอตัวตลกที่ไหน และตัวตลกกำลังทำอะไรอยู่
    3. สิ่งที่เป็ด และตัวตลกทำเป็นสิ่งสุดท้ายคืออะไร
    4. หลังจากที่หนีจากตำรวจ คุณเจออะไรบ้าง (ตอบอย่าง ต่ำ 3 ข้อ)
    5. ตำรวจมีกี่คร และทำอะไรบ้าง

--------------------------------------------------

    นี่คือตัวอย่าง ของการเก็บข้อมูลทั้งหมดของสมองเราครับ
    หากเรานำประสาทสัมผัสมทั้งหมดมาเชื่อมโยง และจินตนาการประกอบเข้าด้วยกัน เราสามารถจดจำข้อมูลได้มากมายมหาศาล ไม่ใช่แค่นี้นะครับ เพราะถ้าเอาจริงๆ แม้แต่รายการสิ่งของ 100 รายการ ก็สามารถจดจำได้โดยไม่ยาก

    แต่แน่นอนว่า มันก็ต้องใช้เวลาบ้าง โดยวิธีที่ใช้ในการจำ มีอยู่สองแบบหลักๆ คือ
    1. กลวิธีการเล่าเรื่อง
    2. กลวิธีการเดินทาง และใส่ข้อมูลลงในฉาก

    กลวิธีทั้งสองอย่างนี้ ช่วยในการจดจำของได้มาก และง่าย ดูได้จากเรื่องเล่าของสิบอย่างที่ผมได้ยกตัวอย่างไปแล้วในบทก่อนๆ "ไส้เดือนร้องเพลง" นั่นล่ะครับ เพียงแต่ว่า ถ้าข้อมูลมาก แล้วเราต้องมานั่งเรียบเรียงเรื่องราว มันก็ดูจะยาวและกินเวลามากไปสักหน่อย อีกอย่างหนึ่ง ถ้าข้อมูลมีหลายชุดที่ต้องจำ ก็คงจำสับสนไม่น้อย หรือบางที จะนึกก็นึกไม่ออก
    การเชื่อมโยงกันนี้ ถ้านึกสิ่งหนึ่งออก ก็จะนึกสิ่งอื่นๆ ตามมาทั้งหมดด้วย เหมือนขุดมันออกมาได้ทั้งเถานั่นเอง

    การจำไพ่ หรือข้อมูลที่มากชุดขึ้นไป ก็มักจะใช้วิธีจำแบบที่สอง หรือวิธีเดินทางนี่ล่ะครับ เพราะว่าอย่างน้อยมันจะทำให้เรานึกของชิ้นแรกออกได้ง่าย และสามารถแบ่งชุดของที่ต้องการจดจำได้ง่าย อย่างการจำไพ่หลายๆ สำรับก็ใช้วิธีนี้ล่ะครับ

    แล้วการจำไพ่ทั้งสำรับทำยังไง มันใช้ในการช่วยเล่นมายากลด้วยหรือเปล่า ครั้งหน้า ผมจะมาเล่าให้ฟังละกัน


วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มาผจญภัยกันดีกว่า

วันนี้ผมจะมาชวนคุณผจญภัย
    ที่พาดหัวอย่างนี้ ไม่ได้จะชวนออกทะเล หรือไปล่ามังกรที่ไหนกันนะครับ ผมแค่จะยกตัวอย่างให้ดู และเป็นการทดสอบระบบการจดจำให้ผู้อ่านได้เข้าใจอีกด้วย

    ก่อนที่จะเริ่มผมมีกฏอยู่ 2 ข้อ
    1. เรื่องที่ผมเล่าให้นึกภาพตามไปด้วย
    2. รูปรสกลิ่นเสียงที่กล่าวถึง ก็นึกตามไปด้วยนะ

    โอเค พร้อมแล้วหรือยัง ถ้าพร้อมแล้วเริ่มกันเลย

    กาลครั้งหนึ่งเมื่อเช้านี้ เมื่อคุณตื่นขึ้นมาบนที่นอน คุณพบว่า คุณกำลังกอดผ้าห่มอันแสนนุ่มนวล แต่สีสันของมัน กลับเป็นสีแดงขาวน้ำเงินแบบธงชาติไทยไปได้เสียนี่

    "แป๊นๆ"

    เสียงแตรรถดังมาจากหน้าประตูห้อง ทำให้อดสงสัยไม่ได้ คุณค่อยๆ เอื้อมมือไปจับลูกบิด เปิดประตู แล้วก็พบกับ

    "เป็ด" ใช่ครับเป็นเป็ด เป็ดบ้านไหนไม่รู้ กลิ่นหอมมากเหมือนสบู่ แต่ที่แปลกกว่านั้นคือ เป็ดตัวนี้
    มีสี "แดง" แดงแจ๋แบบรถสปอร์ตเลย แถมขนก็มันวาวยังกับโลหะ
    เป็ดสีแดงหอมๆ ตัวนั้นกำลังหันมาทางเราแล้วกระพือปีกพั่บๆ เหมือนจะให้เราขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน
    คุณตัดสินใจนั่งบนหลังเป็ด และจับตัวมันไว้แน่น ทันใดนั้น
    มันก็พุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วราวกับจรวด ชั่วพริบตา คุณก็อยู่บนท้องฟ้าอันเจิดจ้า แสงของดวงอาทิตย์ช่างแสบตายิ่งนัก

    ในขณะที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้านั่นเอง จู่ๆ ก็มีอะไรบางสิ่งบินชนแก้มและปากของคุณ
    คุณสัมผัสได้ถึงอะไรเย็นๆ นิ่มๆ คล้ายเลลี่ มีรสหวานติดริมฝีปากของคุณ
    เมื่อมองตามไป คุณเห็นสัตว์ประหลาด รูปร่างเป็นวงรี สีชมพู มีวงแหวนเทวดา และปีกเทวดา ตัวของมันใสจนมองทะลุได้ ดวงตากลมโตขนาดช็อกโกแลตm&m และปากที่เป็นทรงเลขสามหงายท้อง

    "แองเจิ้ลริ่ง" นั่นเอง (ใครรู้จักแร๊คนาร๊อกน่าจะพอคุ้น)

    สิ่งที่ไล่ตามหลังแองเจิ้ลริ่งมาติดๆ คือดรอยด์ ที่ติดกล้อง สีขาวดำ ลายพราง ชั่วพริบตาเดียว ทั้งคู่ก็ไปไกลลิบตา

    หลังจากผ่านมาสักระยะ คุณมองไปข้างล่าง ก็เห็นถนนโค้งวนเป็นวงกลม ตรงกลางมีหุ่นปูนทหารถือปืน ทหารอุ้มลูกระเบิด และเสาแท่งๆ เหลี่ยมๆ โผล่ขึ้นมาตรงกลาง

    "อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ" นี่เอง (ชัยคือชัยชนะ สมรภูมิคือสนามรบ)

    เจ้าเป็ดเริ่มร้อนและเหนื่อย มันจึงบินไปนั่งพักบนยอดเสา แต่เพราะแดดร้อนมาก ทันทีที่นั่งลง เจ้าเป็ดก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะความร้อน จนทำให้คุณเกือบหล่นจากหลังเจ้าเป็ด
    คุณรัดคอมันแน่น จนมันบินเซถลา ไปตรงหน้า 7-11 (เซเว่นอีเลเว่น)

    ด้วยความที่อากาศร้อน เจ้าเป็นและคุณ ก็เลยนั่งอยู่หน้าประตูร้าน แต่ก็น่าแปลก ที่คุณไม่ได้ยินเสียงกริ่งประตูหน้าร้านเลย และคุณก็นึกขึ้นมาได้ว่า ช่วงนี้เป็นช่วงไว้อาลัย

    เอาสักแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวมาต่อภาคสอง เพราะผมกลัวว่าจะยาวไป

คำถามคือ (โดยไม่ต้องกลับไปดูนะ)
    1. ของที่พบบนเตียงนอนคือ
    2. บรรยายลักษณะของเป็ดในเรื่อง (3 ลักษณะ จริงๆ มี4)
    3. ในเรื่องมีสถานที่ใดบ้าง (อย่างน้อย 3 ที่)
    4. สิ่งที่ผิดปกติของ 7-11
    5. ลักษณะของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
    6. เรียงลำดับสถานที่ในเรื่อง (3-4 สถานที่)
    สังเกตดูนะครับว่า คุณจำข้อมูลได้มากมายขนาดไหน
    รอบหน้า เดี๋ยวผมจะมาเล่าเรื่องต่อกัน

วันอังคารที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ว่าด้วยเรื่องการจำภายในหนึ่งนาที

    ไม่นานมานี้ กระผม "ซีโร่" ได้ไปเดินหาหนังสือเกี่ยวกับหัวข้อหนึ่ง แต่ดันไปเจอหนังสือเกี่ยวกับอีกหัวข้อเสียได้นี่ เนื้อหามันเกี่ยวกับการพัฒนาความจำเหมือนกัน เขียนโดยคนญี่ปุ่น ชื่อหนังสือประมาณว่า

    "เป็นอัจฉริยะความจำในหนึ่งนาที"

    ด้วยความที่ เป็นคนที่ขี้สงสัย และรู้สึกขัดแย้งกับความเข้าใจที่เรียนรู้มา จึงหยิบติดกระเป๋ากลับบ้านมาด้วย (แน่นอน ต้องจ่ายเงินแล้วสิ)
    เนื้อหาที่อ่าน ดูแล้วเหมาะอย่างยิ่ง สำหรับการติวหนังสือเพื่อสอบ เพียงแต่หลักการของหนังสือเล่มนี้ เป็นการย้ำๆ ให้ความทรงจำติดสมอง และมุ่งสนใจโดยเฉพาะส่วนที่เป็นจุดอ่อนที่ต้องการจะจำ
    "ถ้าผมแฉ ผมจะโดนสำนักพิมพ์ตามมาด่าไหมเนี่ย" 
    เอาก็เอา ก็พูดมาขนาดนี้แล้วอ่ะเนอะ
    เขา อิชิอิ อะไรสักอย่างนี่ล่ะ ให้คำแนะนำที่น่าสนใจไว้ว่า "ถ้าคุณเขียนคำศัพท์เพื่อจดจำ คุณเขียนครั้งหนึ่งใช้เวลา 10 วินาที แต่ถ้าคุณใช้วิธีอ่านเฉยๆ คุณใช้เวลา 1 วินาที นั่นคือ ถ้าเขียน คุณจะทบทวนได้แค่ 6 ครั้ง แต่ถ้าอ่านหรือมองอย่างเดียว คุณจะทบทวนได้ถึง 60 ครั้ง" อืม น่าคิดนะครับ
 
    และพออ่านต่อไปอีกสักพัก ผมก็พบว่า หนังสือเล่มนี้ "เน้นการจำและตั้งเป้าไปที่สิ่งที่ยังจำไม่ได้" พูดง่ายๆ คือการแบ่งความสำคัญของสิ่งที่ต้องการจะจำนั่นเอง โดยจะมีการแบ่งข้อมูลออกมาในโซนสีต่างๆ

    แต่ว่า สิ่งที่ตรงนี้ต่างกับระบบและวิธีที่ผมจะสอนและอธิบายอยู่ก็คือ "ปริมาณความมากน้อยของข้อมูลที่จดจำ แฃะความติดทนนาน" หนังสือเล่มนี้มีการกล่าวถึงกระบวนการสร้างความเชื่อมโยงในการจำเหมือนกันครับ แต่เน้นในการท่องจำมากกว่า ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถทำการเชื่อมโยงเป็นรูปภาพได้
    ฉะนั้น สองวิธีนี้เป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวดี

    หนังสือเล่มนี้ผมยังอ่านไม่จบนะ แต่มีพูดถึงจำนวนที่เหมาะสมกับการจำ ระยะเวลาในการลืม ถ้าซื้อมาก็คงช่วยในการเรียนได้แน่นอน

    ป.ล.ช่วงนี้ผมไม่ได้แตะคอมฯเลย ขอโทษที่ไม่มีอัพเดทครับ
    นี่พิมพ์จากมือถือ สังเกตได้ว่าช่วงท้ายไร้ซึ่งสีสัน
    ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านครับ แล้วพบกันใหม่

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ภาษากับภาพ

    ถ้าเราพูดถึงของสิ่งหนึ่ง ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร เรียกภาษาไหน สิ่งนั้น มันก็ยังเป็นเหมือนเดิม เช่น น้ำ ภาษาอังกฤษเรียกวอเตอร์ จีนเรียกฉุ่ย ญี่ปุ่นเรียก มิซึ แต่ไม่ว่าเรียกยังไง มันก็คือของเหลว ใสๆ ที่ใช้ในการดื่ม หรือชำระล้างนั่นเอง

การเชื่อมโยงของภาษา

    ในการเชื่อมโยงความแตกต่างของข้อมูล ที่ใช้พื้นฐานในการออกเสียงต่างกัน มันเป็นไปได้ยากมาก ที่จะหาคำต่างๆ มาใช้เชื่อมโยง โดยเสียงใกล้เคียงที่สุด เหมือนตัวอย่างของอาซิ่ม ที่ผมยกตัวอย่างไปแล้ว อาซิ่ม กับ Assassin (กลับไปอ่านในบทความก่อนๆ)

    เอาล่ะ มายกตัวอย่างก่อนละกัน กับภาพที่ผมวาด
    ภาพนี้ ผมอัพโหลดลงอินสตาแกรมไปนานพอสมควรละ ในภาพนี้กำลังทำอะไรกัน
    ตัวอักษร "N" ที่กำลังเมา (ถือขวดเหล้าด้วยเห็นไหม) นั่งเล่นโกะ (หมากกระดานชนิดหนึ่ง) กับแมวตัวหนึ่ง ที่กำลังไอ (แค่กๆ)
    ดูแล้วน่าสงสัยว่า ทำไมภาพช่างออกมาได้แปลก และแหวกแนวเยี่ยงนี้หนอ อย่างที่บอกว่า เสียงในภาษาไทย มันหาคำใกล้เคียงได้ไม่กี่คำ ในคำภาษาอื่น แต่ก็นะครับ นี่คือตัวอย่างการเชื่อมโยงของคำว่า

    "แมว"

    ความหมายมีแค่ตัวเดียวในภาพนี่ล่ะครับ แต่ภาพนี้มีภาษาจีน ญี่ปุ่น และภาษาอังกฤษด้วยนะ
    ภาษาจีน แมว ออกเสียงว่า "เมา" ครับ ไอ้ตัวอักษรที่กอดขวดเหล้านั่นล่ะ
    ภาษาญี่ปุ่น     ออกเสียงว่า "เนโกะ" เนโกะจั๊มป์นั่นล่ะครับ "N" นั่งเล่นโกะ เลยเป็น "เนโกะ" ครับ
    ภาษาอังกฤษ  ออกเสียงว่า "แคท" ไอ้เสียงไอของแมวนั่นล่ะครับ แต่เสียงอาจจะไม่ใช่ แค่กๆ 

    นี่คือตัวอย่างแรก ตัวอย่างที่สอง ที่ผมจะยกมา อาจจะออกเสียงไม่ค่อยตรงกับความหมายแท้เท่าไร

    ภาพเซ็กซี่เล็กน้อย ผมของอนุมานว่า ทุกคนรู้จักคำว่าน้ำในภาษาอังกฤษนะครับ วอเตอร์ "water"
    ในรูปคือ สาวฝรั่งเซ็กซี่ ตัวเธอยังคงมีกลิ่นน้ำหอมฉุยแม้ลงเล่นน้ำ (น้ำหอมกลิ่นแรงมาก อย่าลืม)
    ภาษาจีน น้ำ ออกเสียงว่า "ซุ่ย"  แผลงมาจากน้ำหอมฉุย
    ภาษาญี่ปุ่น น้ำ ออกเสียงว่า "มิซึ" สาวแหม่ม ภาษาอังกฤษเราเรียก "มิส" (Miss) ญี่ปุ่นออกเสียงสั้น ก็เลยเป็น "มิซึ"

    การปรับเรื่องความจำกับภาษา คือการประยุกต์ลูกเล่นส่วนตัว เดี๋ยวผมจะยกอีกตัวอย่างสุดท้ายกับคำว่า

    "แผนที่"

    เอาล่ะ ฝึกใช้สมอง และจินตนาการสักเล็กน้อยนะครับ นึกภาพหมาชิสุตัวนี้ นอนแหมะอยู่บนแผนที่ แล้วข้างๆ มีไม้ถูพื้นคิตตี้อยู่ คิดภาพให้ชัดนะครับ มันนอนแหมะอยู่บนแผนที่ มีไม้ถูบ้านคิตตี้อยู่ข้างๆ 

    เอาล่ะ พร้อมแล้วมาเฉลยกันดีกว่า มีใครจะเดาถูกกันมั่งไหมน้อ
    ภาษาจีน แผนที่ ออกเสียงว่า "ตี้ถู" ไอ้ไม้ถูบ้านคิตตี้นี่แหละ หรือจะคิดภาพอาตี๋สุดหล่อ มีซิกแพ็ค ใส่ผ้ากันเปื้อนผืนเดียวกำลังถูบ้านก็ได้ (ยิ่งแปลก ยิ่งฮา ยิ่งอุบาวท์ ก็ยิ่งจำได้นะครับ อ้วกกกกกกก)
    ภาษาญี่ปุ่น     ออกเสียงว่า "ชิซุ" ใช่ครับ ไอ้หมาเนี่ยแหละ ออกเสียงแทบไม่หนีกันเลย
    ภาษาอังกฤษ  ออกเสียงว่า "แม๊พ" ไอ้นอนแหมะกับพื้นนี่แหละครับ จำไว้นะครับ นอนแบนๆ แปะพื้นแบบนี้ นอนแหมะ

    เอาล่ะ วันนี้ก็พอกันแค่นี้ก่อนดีกว่า รอบหน้า จะเอาหัวข้ออะไร เดี๋ยวรอชมละกันนะครับ

    ป.ล. ใครอยากได้อะไร คอมเมนท์อะไร รีเควสต์อะไร หรือจะมีช่วงตอบจดหมาย ก็บอกมานะครับผม


วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กำหนดการ กับความจำ

    ก่อนที่จะมาพูดถึง วิธีการที่จะช่วยในการช่วยจดจำกำหนดการสำคัญๆ ของคุณ ผมต้องขอย้ำอีกทีว่า

    "ผมสอนให้คุณจำได้ จำดี แบบไม่ลืม ไม่ได้สอนให้จำได้เร็ว เรียนรู้ได้เร็วนะ"
    จะเรียนเร็ว รู้เร็ว จดจำข้อมูล หรือแปลงข้อมูลได้ไว มันอยู่ที่การฝึกฝนของคุณมากกว่า ยิ่งใช้มาก ฝึกมาก ยิ่งเก่งมาก เร็วมากนะครับ

    กำหนดการ ประกอบด้วย สิ่งที่ต้องทำและเวลา

    ลองนึกถึงสิ่งที่คุณต้องการทำขึ้นมาสักสิ่งหนึ่ง มันจะประกอบไปด้วย
    1. กิจกรรม เต้นรำ ทำกลอง ลองของ จองตั๋วหนัง ฟังเพลง เต้นแทงโก้ บลาๆๆๆ
    2. วันที่ เดือน ปี (ปีคงไม่ต้องเอาหรอกมั้ง แต่ถ้าเอาผมก็คิดว่าคุณสามารถกำหนดเพิ่มลงไปได้)
    3. ใคร พ่อ แม่ พี่ น้อง แฟน กิ๊ก อีหนู จะอะไรก็แล้วแต่ เอาที่สบายใจ
    4. เวลา เกิดไม่ใช่ จำวันถูก แต่ผิดเวลาไปสองชั่วโมง ของขวัญสวยๆ ที่คุณเตรียมไว้ อาจกลายเป็นเรื่องซวยๆ ของคุณก็ได้

   สรุปคือ อย่างน้อย คุณก็ต้องมี 4 องค์ประกอบนี้ ที่จะต้องจดจำ ก่อนจะไปสานสัมพันธ์ลึกซึ้ง หรือไปสร้างความบาดหมางร้าวฉานกับใคร ทำให้สนุกและเป็นภาพ จะช่วยคุณได้เยอะ แล้วต้องเกี่ยวกับกำหนดการด้วยนะ ยกตัวอย่างเช่น    "วันพุธที่ 14 สิงหาคม ผมนักสาวก้อย ไปทานไอศครีมสเวนเซ่น ที่พารากอน เวลา ห้าโมง ครึ่ง"
    ถามว่าสาวก้อยไหน ผมตอบว่าไม่รู้ เพราะผมสมมุติ ว่าแล้วก็สมมุติภาพเลยละกัน

    "ผมอยู่หน้าประตูบ้าน กำลังจะเปิดประตู
 มีรูปภาพใบหนึ่งแปะอยู่ที่ประตูบ้าน 
เป็นรูปสะพานพุทธ บนรูปภาพ มียาแม็ก77 ติดอยู่ 
ในภาพมีสิงโตกำลังแทะนิ้วก้อยของใครสักคนอยู่ 
ข้างหน้าสิงโตก็มีถ้วยไอศกรีมสเวนเซ่น มันแทะไป ก็ปัดถ้วยไอศกรีมล้ม
ผมตกใจกับภาพที่เห็นมาก ไม่รู้จะทำไง จึงหัวเราะออกมา 
แต่สักพัก ก็นึกได้ว่ามันไม่เหมาะสม จึงหยุดกลางคัน"    

................................

    จินตนาการออกจะโหดซาดิสต์ใช่ย่อย เอาล่ะ ผมมาเริ่มอธิบายทีละส่วนดีกว่า
    
1. ผมอยู่หน้าประตูบ้าน กำลังจะเปิดประตู >>>> คือให้เป็นประตูบ้าน หรืออะไรก็ได้ครับ กระจก
    ก็ได้ เวลาเข้าห้องน้ำ มองกระจก มันจะได้ช่วยให้นึกออกว่า เรามีกำหนดการอะไร ตัวนี้เป็นตัวกระตุ้น
    เฉยๆ เผื่อใครไม่ทันนึก
2. รูปสะพานพุทธ บนรูปภาพ มียาแม็ก77 ติดอยู่ >>>> สะพานพุทธ คือตัวแทนของวันพุธครับ
    แนะนำว่าควรสร้างสัญลักษณ์ประจำวัน ประจำเดือน และสัญลักษณ์ของตัวเลขขึ้นมากันไว้นะครับ
    ส่วนยาแม็ก 77 คือ เลข 7 สองตัว บวกกันได้ 14 ครับ
3. ในภาพมีสิงโตกำลังแทะนิ้วก้อย >>>> สิงโตก็สิงหาคมครับ นิ้วก้อย ก็สาวก้อยนั่นล่ะ 
4. ถ้วยไอติมสเวนเซ่น >>>> อันนี้ผมคงไม่ต้องอธิบายเนอะ 
5. หัวเราะออกมาแต่หยุดกลางคัน >>>> ฮ่าๆๆ แล้วหยุด ก็ห้าโมงครึ่งครับ

    นี่แหละครับ ครบถ้วนกระบวนความ รอบถัดไป เรามาเล่น  "คำศัพท์ภาษาต่างชาติ"  กันมั่งดีไหมครับ น่าจะสนุกดีนะ