Ads

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ภาษารัก

    ไม่นานมานี้ผมได้เข้าไปใน AppStore แล้วเจอ Application หนึ่งที่ชื่อว่า "DoujuanBible" คือก็ไม่ได้ตั้งใจจะจีบสาวหรืออะไรหรอกนะครับ แค่อยากรู้เนื้อหาข้างในจึงลองโหลดมา (ทุกคนเชื่อผมเนอะ)
    เมื่อลองอ่านไปเรื่อยๆ มีข้อคิดน่าสนใจมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ก็เน้นในเรื่องของการจีบผู้หญิง โดยเฉพาะเป้าหมายของเขาคือ จีบผู้หญิงสวย
    แต่ไม่ยักกะมีการกล่าวถึงการรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวเลย มีแต่เรื่องการจีบ หาแฟนเยอะๆ มีหลายคนพร้อมกัน เสริมสร้างให้เกิดความนมหัก เอ้ยอกหัก
    คราวนี้ก็ย้อนกลับมาที่หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่าน และเคยเอาไปใช้แล้ว ชื่อ "ภาษารัก" พอคิดๆ ดูแล้วยังกับหนังคนละม้วน
    คราวที่แล้วบอกไว้ว่าจะลองทำไมน์แมพให้ดู ก็ตั้งใจไว้แหล่ะว่า เล่มนี้ก็คือหนึ่งในตัวเลือกนั้น
    แล้วหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับอะไร มันเกี่ยวกับ "ภาษารักครับ"
หัวใจคือรัก ส่วน L คือ Language แปลว่าภาษาครับ
    หนังสือเล่มนี้บอกว่า ความรักของทุกคนไม่เหมือนกันครับ คือผมรักคุณ คุณรักผม มันต่างกัน แล้วต่างกันยังไง
    เวลาคนเรารักกัน ตอนแรกๆ ก็รู้สึกว่าเขาดีทุกอย่าง เขาทำทุกอย่างให้เรา รักกันเสียปานจะแหกตูดดม แต่พอผ่านช่วงเวลาหนึ่ง ก็เริ่มลดดีกรี มีปัญหา ตามราวี ชีวีไร้ความสุข ทุกข์สุมทรวง หวงของชั้น นั่นของเธอ เผลอก็กลัว ผัวหน่ายหนี ผีมายั่ว มั่วสตรี
   พอละๆ สรุปง่ายๆ คือ มีช่วงหมดโปรฯ พอหมดโปรแล้ว แต่ละคนก็ยังต้องการความรัก และแสดงความรักซึ่งกันและกันอยู่ครับ แต่จะแสดงออกมาในแนวทางของตัวเอง แนวทางที่คิดว่าใช่
    พอออกมารูปแบบนี้ แม้จะอยู่ด้วยกัน ช่วยกัน พูดกัน แต่ก็กลับรู้สึกถึงระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน อาการตกหลุมรัก และเกิดโปรฯ ยังสามารถเกิดกับคนอื่นๆ ได้เรื่อยๆ (เพราะสิ่งนี้เป็นสัญชาตญาณพื้นฐานในการดำรงอยู่ซึ่งเผ่าพันธุ์ครับ ในขณะที่สายสัมพันธ์ที่อยู่กันยาวนานอย่างสามีภรรยานั้นไม่ใช่สัญชาตญาณพื้นฐาน)
หัวใจสีดำ เป็นหลุมรูปหัวใจครับ ตกหลุมรัก
    พอเป็นอย่างนี้ปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว บ้านแตกสาแหรกขาด กิ๊ก ชู้ ก็เกิดขึ้น กลายเป็นปัญหาสังคม
    ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดครับ แต่เป็นผลจากความไม่เข้าใจกันทั้งนั้น เพราะความรัก ก็มีภาษาของมัน และถ้าคนเราคุยกันคนละภาษา มันก็ไม่รู้เรื่องใช่ไหมละครับ
    คราวนี้ ภาษารักคืออะไร และมีอะไรบ้าง ตอบง่ายๆ คือกิจกรรม ที่คนใช้แสดงความรัก และรับรู้ความรักนั่นเอง ซึ่งโดยหัวข้อใหญ่ๆ แล้ว ก็มีทั้งหมด 5 ภาษาด้วยกัน
    เริ่มมาจากทางซ้ายคือ
1. การให้ของขวัญ (ถือไอศกรีมอยู่ เป็นของขวัญ)
2. คำพูดให้กำลังใจ (โทรศัพท์ แทนการพูดคุย)
3. การสัมผัส (เสือ ต้องตะปบเหยื่อ สัมผัสตัวครับ)
4. การใช้เวลาร่วมกัน (รถ คือต้องนั่งด้วยกัน อยู่ด้วยกัน ใช้เวลาร่วมกัน)
5. การทำบางสิ่งบางอย่างให้ (จระเข้ กลับมาเห็นไข่ฟัก แสดงว่ามีคนฟักไข่ให้)
    นี่คือ 5 สิ่งหลักที่เราได้จำแนกออกมาเพื่อสื่อสารถึงกันและกัน และรับรู้ความรักความใส่ใจ เดี๋ยวเรามาลงลึกในรายละเอียดอีกสักนิดหนึ่ง

    1. การให้ของขวัญ
    คนกลุ่มหนึ่ง ต้องการสิ่งที่จับต้องได้ มองเห็นได้ ระลึกถึงได้ ในขณะที่เราสั่งอาหารในบางร้าน เราได้แต่รอรายการของเราว่าเมื่อไรจะได้ บางครั้งก็มีป้าย มีที่ส่งสัญญาณ ทำไมถึงต้องมาลงทุนกับของแบบนี้
    เพราะก็มีบางคนที่ต้องการความมั่นใจ ความแน่ใจ โดยสิ่งของทดแทนที่สามารถจับต้องได้ ในเรื่องความรักก็เช่นกัน ทำไมต้องมีแหวนแต่งงาน ทำไมบางคนต้องการของขวัญเนื่องในโอกาสพิเศษ ต้องได้ช็อกโกแลต และดอกไม้ในวันวาเลนไทน์
    คนที่มีคนรักเป็นคนที่สื่อสารความรู้สึกด้วยวิธีนี้ ก็อย่าเพิ่งโอดครวญเรื่องค่าใช้จ่ายไป บางครั้งงานที่ทำด้วยมือ หรือความตั้งใจ ก็ให้ผลลัพธ์ไม่ต่างกันหรอกครับ หรือจะไปเด็ดดอกไม้มาสักดอกมาทัดหูก็ได้ (ยกเว้นจะมีใครแพ้ดอกไม้)
    แต่อีกสิ่งหนึ่ง ที่คุณจะให้เป็นของขวัญได้ คือตัวคุณเอง (ในยามที่เขาต้องการ หรืออ่อนแอ) มันจะต่างกับการใช้เวลามีค่าร่วมกันนิดหนึ่งครับ เอาเป็นว่าเข้าใจแค่นี้ก่อน เดี็ยวมันจะยากมาก เราจะพาไปสู่ข้อถัดไป

    2. คำพูดให้กำลังใจ
    กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ต้องอยู่กับคนพูดจาดีๆ ถ้าอยากทำร้ายน้ำจิตน้ำใจ ก็พูดหยาบคาย ด่าว่า ส่อเสียด จะมีผลมาก
    คำพูดเป้าหมายเดียวกัน แต่วิธีพูด มักจะมีผลกับกลุ่มนี้มาก เช่น ไปล้างจานสักที และช่วยล้างจานให้หน่อยนะ ผมอยากจะบอกว่า คำพูดเชิงออกคำสั่งกับกลุ่มนี้ เป็นสิ่งต้องห้าม
    ในขณะเดียวกัน การพูดชมเชย ขอบคุณ จะเป็นผลบวกมากๆ นอกจากนี้ ก็มีคำพูดปลอบโยน ช่วยเสริมความมั่นใจ แล้วไม่ใช้น้ำเสียงประชดประชันนะครับ
    อีกอย่างคือ "ชมฉันสิๆ" แต่ก็ต้องชมจากใจจริงๆ นะครับ

    3. การสัมผัส
    ลองนึกดูว่า เราได้เป็นแฟนกับบุคคลผู้หนึ่ง แล้วไม่เคยแม้แต่แตะตัวกันเลย มันรู้สึกพิลึกๆ หรือไม่ แต่ถ้าแตะกันแต่ละครั้ง เป็นฝ่ามือ ลำแข้ง และกำปั้น อันนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน
    ตัวอย่างง่ายๆ สำหรับการสื่อสารของความรักผ่านทางการสัมผัส ก็เช่นการจับมือ กอดแขน กอดตัว จับไหล่ โอบ ลูบหัว และอื่นๆ
    เช่นกัน สำหรับพวกที่ชอบสื่อสารและรับความรักด้วยการสัมผัส การไม่แตะตัวเลย หรือการเลี้ยงด้วยลำแข้ง ประเคนเข่า ประเคนหมัดให้รับประทานเป็นอาหาร ก็เป็นการทำร้ายน้ำใจกันได้มากเลยทีเดียว
    แต่ไม่ใช่ว่าสักแต่สัมผัสนะครับ เพราะข้อแรก แต่ละจุดมีความไวต่อการสัมผัสไม่เท่ากัน ข้อสอง บางคนต้องการรายละเอียด เช่น การนวดคลึง การค่อยๆ ลูบไล้ ฉะนั้นคุณก็ต้องถามคู่ของคุณด้วย ว่าชอบแบบไหน เพราะถ้าหากคู่ของคุณชอบเซ็กซ์ แต่คุณเอาแต่นวดเท้าเขา วันเคืนดี เขาอาจจะเอาเท้ามานวดหน้าคุณก็เป็นได้

    4. การใช้เวลาร่วมกัน
    ก็อยู่ด้วยกัน ตัวติดกันทุกวันแล้ว ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นเลย ถ้าคุณเข้าใจภาษารักของคู่ถูกแล้ว ก็แสดงว่าคุณคงเข้าใจผิดระหว่างการอยู่ใกล้ๆ กัน กับการใช้เวลาร่วมกัน มันต่างกันหรือสองสิ่งนี้ มันต่างกันมากครับ
    สมมุติคุณยังอยู่ในวัยเอ๊าะๆ นั่งเรียนหนังสือในมหาวิทยาลัย ในวิชาที่มีคนเรียนร่วมร้อยคน คุณอยู่กับผู้คนมากมายร้อยคนครับ แต่คุณไม่ได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะว่าทั้งหมดนั่งเรียนใครเรียนมัน วาดรูปใครวาดรูปมัน เล่นมือถือใครมีถือมัน กินขนม.....พอๆ ชักยาว ก็คร่าวๆ แบบนี้
   แล้วการใช้เวลาร่วมกันคืออะไร ก็คือการทำกิจกรรม หรือสิ่งใดๆ ร่วมกัน โดยที่ความสนใจเราอยู่คู่ของเรา ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการสนทนากัน
    จ้อๆๆๆ อืม....อืม..... จ้อๆๆๆ อืม.....อือฮึ
    พอเจออย่างนี้สักพัก ฝ่ายที่จ้อมีสิทธิ์ตบกบาลฝ่ายอือหัวทิ่มได้นะครับ พูดง่ายๆ ใส่ใจฉันสักนิดเถิด

    5. การทำบางสิ่งบางอย่างให้
    ก็ตามหัวข้อเลยครับ เช่น เก็บของ จัดบ้าน ล้างรถ ฯลฯ แต่ถ้าอยากรู้ว่าสิ่งไหนมีผลมากที่สุดก็ถามคู่ของคุณดู
    จริงๆ แล้ว ภาษารักทั้ง 5 นี้ มีส่วนละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก เพราะไม่ว่าการพูดจา หรือการทำบางอย่างให้ มันก็ไม่อาจตอบโจทย์ เช่น คุณกวาดบ้านถูบ้านให้เป็นประจำ แต่คู่ของคุณไม่ได้สนใจเรื่องนั้น แต่สนใจเรื่องอยากให้ล้างรถมากกว่า การตอบสนองของความรัก ก็ไม่มีผลเท่าไร หรือมีก็น้อยมาก
    ฉะนั้น การที่แต่ละคนได้เข้ามาหันหน้าคุยกันบ่อยๆ ปรับความเข้าใจกันบ่อยๆ จึงทำให้ชีวิตคู่ยืนยาวได้ แต่แน่นอนว่า ต้องมีความเข้าใจอย่างถูกต้องด้วยนะครับ ไม่เช่นนั้น ก็จะหลงทางอยู่ในเขาวงกต


    อยากจะบอกว่า พออ่านแล้วทำออกมา มันกลับผิดคาดมาก ปรกติ ไมน์แมพมันจะขึ้นยั้วเยี้ยๆ เต็มไปหมด เพราะมีหัวข้อย่อยนั้น ข้อเสริมตรงนี้ แต่พอทำอันนี้ออกมา ดันเหลือแต่หัวข้อหลักแฮะ ก็เป็นตัวอย่างนะครับ
    ส่วนใครต้องการบทความหรือชื่อหนังสือ ก็ติดต่อมาได้ครับ

    แล้วพบกันใหม่รอบหน้าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น