Ads

(adsbygoogle = window.adsbygoogle || []).push({});

วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560

เหตุเกิดจากการวิ่งไล่

    วันนี้ผมขอนอกเรื่องนิดหนึ่งละกัน ถือว่าเป็นเรื่องเล่าแชร์ประสบการณ์ละกัน แต่ว่า ก่อนที่จะเล่าเรื่อง ผมถามก่อนว่า พวกคุณมีความฝันกันหรือเปล่า
    ถ้าวันนี้เลือกได้ อยากจะเป็นอะไร ทำอะไร ประสบความสำเร็จในด้านไหน
    แล้วตอนนี้ตัวคุณเป็นอย่างไร เป้าหมายที่อยากเป็นอยากได้ กับระยะทางที่คุณเดินมา มันใกล้ขึ้นแค่ไหนแล้ว
    บางคนอาจจะเคยมีความฝัน และล้มเลิกไปแล้ว เพราะมีข้อจำกัดหลายอย่าง ผมจะบอกว่า ข้อจำกัดข้อคุณมันช่างเป็นเรื่องเหลวไหล
    แน่นอน คุณรู้สึกว่าเหตุผลของคุณนั้น มีน้ำหนักมาก และเป็นจริงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
    คุณคิดว่า คนที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายทั้งมวลในโลก เขาสำเร็จเพราะอะไร เขาเป็นแชมเปี้ยนได้อย่างไร
    คำตอบคือ เขาเป็นแบบนั้นได้ เพราะตัวเขาเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ฟังถึงตรงนี้แล้วคุณคงงง ผมจะเริ่มเล่าประสบการณ์ของผมให้ฟัง
    เป้าหมายของผมคือ เป็นคนที่ "เจ๋ง" และจะ "เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ให้ดีขึ้น" ฟังดูเพ้อฝัน เรียบง่าย แต่ก็กระชับ และทรงพลัง ต่อไปที่ผมจะเล่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
    วันหนึ่ง ขณะที่ผมกำลังนั่งรถโดยสารประจำทางกลับที่พัก มีนักท่องเที่ยวสองคน เดินขึ้นมาบนรถ แล้วถามทางกับเจ้าหน้าที่ประจำรถ แต่ดูแววแล้ว ทั้งสองฝ่ายคุยกันไม่รู้เรื่อง
    ด้วยความที่คิดว่าทักษะภาษาต่างชาติของผมสูงกว่าเจ้าหน้าที่ ผมจึงลุกจากที่นั่งแล้วเข้าไปช่วย ผมบอกนักท่องเที่ยวเสร็จ ทั้งสองคนลงไป แล้วผมก็กลับมานั่งที่ รถเริ่มเคลื่อนตัวไปยังจุดหมายต่อไป แต่ผมกลับพบว่า
    ผมบอกทางพวกเขา "ผิด" ทางที่พวกเขาไปนั้น ไม่มีรถที่พวกเขาจะขึ้นอยู่แน่นอน
    ถึงตรงนี้พวกคุณ จะทำอย่างไรกันดีครับ

    เราสามารถ ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปก็ได้ เพราะเขาสามารถถามคนอื่นๆ ต่อไปได้ หรือไม่ทางสุดท้ายก็คือเรียกรถแท๊กซี่ซึ่งพาพวกเขาไปถึงจุดหมายได้อยู่แล้ว
    สิ่งที่ผมคิด และตัดสินใจคือ แม้ผมจะเลยจุดที่พวกเขาลงไปก่อนหนึ่งจุด แต่ผมก็ตัดสินใจลงจากรถ และวิ่งไปตามหาพวกเขา
    วิ่งเข้า วิ่ง วิ่งสุดแรง วิ่งสุดกำลัง วิ่งเข้าเอ๋ วิ่ง ขอบอกว่าเหนื่อยจะเป็นลม

    มันเป็นการกระทำที่ คนปกติไม่น่าจะทำ และไม่มีอะไรการันตีด้วยว่า เราจะเจอพวกเขา และผลสุดท้ายของเรื่องนี้คือ
    ผมวิ่งไปตามหาตรงจุดที่เขาน่าจะเดินมาตามที่ผมบอก และรอสักพัก แต่ก็ไม่พบใครครับ
    "ไม่น่ามาเลยว่ะ" เปล่าเลยครับ ผมไม่ได้คิดแบบนั้น

    สิ่งที่ผมได้เรียนรู้และได้ทำในวันนั้นคือ
    1. ผมไม่ใช่คนธรรมดาครับ มันคงยังไม่ถึงขั้นเจ๋ง แต่คนปกติ ไม่มีใครทำอย่างผมหรอกครับ เขาคงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป
    2. ผมรับผิดชอบสิ่งที่ผมกระทำ อย่างเต็มที่ครับ หาวิธีแก้ปัญหา และลงมือทำ
    3. บทเรียนที่ผมได้ และเข้าใจคือ คนที่ประสบความสำเร็จ ย่อมต้องทำทุกอย่าง อย่างเต็มที่ โดยไม่สนว่า ผลลัพธ์ที่ดีจะออกมาหรือไม่ แต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด เต็มที่กับมันที่สุด

    คนที่เป็นแชมเปี้ยน คนที่ประสบความสำเร็จ เขาเป็นของเขาอยู่แล้ว ที่ผมได้กล่าวไปก่อนหน้านั้น ผมหมายถึง ทัศนคติ จิตวิญญาณ และความคิดของเขาครับ คนพวกนี้ มักจะมีคำถามอยู่ในใจเสมอว่า ต้องทำอย่างไร และแบบไหน และถ้าคุณมีเพื่อนเป็นคนประเภทนี้ล่ะก็ ผมรับประกันได้เลยว่า คุณแทบจะไม่เคยได้ยินพวกเขาบ่น

    คนแบบนี้ มักจะสนใจ และพุ่งเป้า มีความกระหาย ที่จะก้าวไปข้างหน้าทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะก้าวถูกหรือผิด เขาจะพุ่งชนตลอดเวลา ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องที่แก้ไขไม่ได้ แต่จะสนใจเรื่องที่ปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้เท่านั้น
    เปลวไฟในตัวของพวกเขา หรือความมุ่งมั่นนั้นนั่นเอง จะเป็นตัวที่ดึงดูดบุคคลรอบข้าง และสิ่งต่างๆ ที่จะเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ
    เหมือนเรื่อง the Hulk ล่ะครับ ร่างที่เปลี่ยนไป แสดงถึงภาวะจิตใจภายในของตัวเองนั่นเอง

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2560

มาดูเรื่องสีดีกว่า

    วันนี้ไม่มีเรื่องเล่า แต่มาอ่านกันแบบสบายๆ เหมือนนั่งพูดคุยกันดีกว่า
    ประเทศไทยของเรา เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมเข้ามาในประเทศหลากหลายมากครับ เรียกได้ว่าไม่ได้กีดกันหรือปิดกั้นวัฒนธรรมชาติใดๆ ซึ่งวัฒนธรรมญี่ปุ่น ก็เป็นสิ่งหนึ่ง ที่มีผลและหยั่งรากลึก ผสมอยู่ในสังคมของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของชื่อ และร้านรวงต่างๆ
    ร้านอาหารญี่ปุ่น มากมายหลายหลาก ล้วนมีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นเกือบทั้งสิ้น และในร้านรวงเหล่านั้น ก็มีชื่อที่แทนสี หรือโทนของร้านอยู่ด้วย ยกตัวอย่าง เช่นร้าน Aka และ Kin sushi

    赤 อากะ แปลว่าสีแดง สังเกตเลยว่า ร้านนี้จะใช้โทนร้านเป็นสีแดง
    青 อาโอ แปลว่าสีน้ำเงิน จำง่ายๆ ว่าโอโตยะ ผ้าที่เขียนชื่อร้านเป็นสีน้ำเงินเข้ม

     คุโระ แปลว่าสีดำ ส่วนมากคำที่เจอได้บ่อยๆ ก็คือ คุโระเนโกะ แมวดำ แต่ถ้าจำยากนัก จำว่าคุกมันมืด เลยเป็นสีดำ - โอเค โคเคน






     ชิโระ แปลว่าสีขาว ชื่อหมาในการ์ตูนเรื่องชินจังครับ ชื่อนั้นแหละ ใช่เลย
    黄色 คิโระ แปลว่าสีเหลือง จำว่าขี้ก็ได้ครับ ขี้สีเหลือง ต้นไม้ก็สีเหลือง เอ๋!!!!
    茶色 ชาอิโระ แปลว่าสีน้ำตาล สีชา น้ำชานั่นเอง
     คิน แปลว่าสีทอง สะกดแบบเดียวกับภาษาจีน จีนกลางออกเสียงว่า จิน จำคู่ว่า "คินกิน" ทองกับเงิน

     กิน แปลว่าสีเงิน ก็อย่างที่บอกข้างต้น หรือจะจำเป็น คุณกิน ในเรื่องกินทามะก็ได้ ผมสีเงิน (เอ หรือจริงๆ พี่แกผมหงอกหว่า)
     มุราซากิ แปลว่าสีม่วง ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ขอเว้นไว้ 1 คำ
    桃色 โมโมอิโระ แปลว่าสีชมพู รู้จักเรื่องโมโมทาโร่ เด็กชายที่เกิดจากลูกท้อไหมครับ นั่นล่ะ ลูกท้อสีชมพู ตามนั้นเลย

    สำหรับวันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวจะลากยาวแบบ ครั้งที่แล้ว
    แล้วมาพบกันใหม่อีกครั้ง อ่านง่ายๆ อ่านสนุกๆ จำได้ก็ดี ไม่ได้ก็อย่าซีเรียส ชอบก็ส่งๆ ต่อกันไปนะครับ แล้วพบกันใหม่
    Jaaa ne!

    เดี๋ยวๆ ผมลืมไปอีกคำ
    绿 มิโดริ แปลว่าสีเขียว โอเค หมดแล้วที่อยากจะกล่าว 555

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

อย่าไปจิ้มขี้ที่โคนต้นไม้นั่นนะ

    ก็ขอตีลังกาสวัสดีผู้อ่านทุกท่านนะครับ กับกระผม ซีโร่
    วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องแปลกๆ พิลึกๆ ให้ฟังกันอีกแล้ว โดยคราวที่แล้ว ได้คำศัพท์ไปเพียงแค่สองคำ อย่ากระนั้นเลย คราวนี้ผมแจกให้ เอาไปทีเดียว ถึง 10 คำเลย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เชิญไปอ่านกันได้เลย


    กาลครั้งหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ ชายหนุ่มผู้หนึ่ง (กะหรี่) ผู้ซึ่งมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นบ้างนิดๆ หน่อยๆ ได้เดินเรื่อยเปื่อยไปในเมือง ทันใดนั้น ก็ผมกับลุงแก่ๆ คนหนึ่ง หน้าตาบอกยี่ห้อว่าลุงมีสัญชาติเดียวกับรถฮอนด้า ลุงแกก็ชี้มือไปข้างๆ พร้อมกับถามชายหนุ่มนั่นเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า
    “Kore wa nan desu ka?” (โคเร วะ นาน เดซ ก๊ะ) แปลว่า “นั่นคืออัลลัย” พร้อมกับชี้นิ้วไปที่วัตถุสีน้ำตาลเลื่อมๆ ที่โคนต้นไม้
    ทันทีที่ชายหนุ่มมองไปตรงนั้น จมูกเขาก็บิดเบี้ยวทันที แต่ยังไม่ทันที่จะทำอะไร ตาลุงนั่นก็ก้มลง ทำท่าจะจิ้มสิ่งนั้น
    “เฮ้ย อย่านะลุง นั่นมัน ขี้ อรี้ๆๆๆๆๆ” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดัง พร้อมกับออกท่าทางแอคชั่นเป็นที่ดึงดูดสายตาของชาวบ้านรอบข้าง ทำให้คุณลุงของเราชะงัก หันมามอง พร้อมกับพูดว่า
    “Ki?” (คิ) แกจึงหันไปมองบนต้นไม้ ทันใดนั้นเอง ก็เกิดแสงสว่าง
    “Owwww me me me” (โอ้ววววววววว เมะ เมะ เมะ เมก้าบางนา) ลุงแกรีบเอามือปิดตาโดยพลัน
    สิ่งที่ปรากฏอยู่บนต้นไม้นั้นคือ ป้าย “โออิชิ” ที่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันสว่างจ้ามาก ราวกับดวงอาทิตย์
    เมื่อชายหนุ่มมองไปรอบๆ ไม่เห็นร้านโออิชิแต่ประการใด เห็นแต่เพียงร้านสุกี้เอ็มเค ซึ่งฉไนตอนนี้ ที่ป้าย มีโลโก้รูปพระจันทร์
    เพียงแค่คุณละสายตา คุณลุงก็ทำท่าจะล้มลงบนกองขี้เสียแล้ว ชายหนุ่มรีบกระโจนเข้าไป หวังจะพลักลุงให้พ้นกองขี้ แต่บางสิ่งมาขัดขาเขาเสียก่อน มันคือ “โปเกม่อน”
    ครับ โปเกมอนกำลังเล่นวิ่งไล่จับกันมาจากไหนไม่รู้ มี “คุไซฮานะ” วิ่งนำ และมี “คิเรฮานะ” วิ่งตาม ผลคือ เขาหน้าจิ้มลงไปในกองขี้ และบอดี้ของคุณลุง ช่วยขยี้ขี้ เข้าจมูกอย่างชื่นจายยยยยย
    ป้ายโออิชิ เห็นดังนั้น ก็ร้องไห้ โฮ สงสารเจ้าหนุ่มหน้าตาจิ้มขี้ แสงมันค่อยๆ เบาลง จนเหลือเป็นเพียงแสงดาว
    แต่ยังไม่หมด หมาเจ้าของวัตถุกลิ่นหอม มาเห่า “โฮ่งๆ” ใส่ชายหนุ่มที่นอนนิ่งไม่ไหวติง คุณลุงตกใจ รีบลุกขึ้นโดยเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เขาจะลุก ก็มีหนังสือเล่มหนึ่ง คือดูท่าทางจะตั้งใจขว้างหัวหมาแหละ แต่มาโดนหัวเขาแทน
    อาสสสสสส์ ซ้ำลงไปในกองขี้ กลิ่นมาดามหอมชื่นใจ
    จบเหอะ

    จบไปแล้วนะครับ กับเรื่องเล่า บ้าๆ บอๆ สำหรับวันนี้ แต่ดันมีคำศัพท์มากกว่า 10 คำเสียแล้วสิ อ่ะ ไม่เป็นไร มาดูกันทีละคำเลยดีกว่า
    ประโยคที่ลุงพูดมา “Kore wa nan desu ka?” ประกอบด้วยคำดังต่อไปนี้
    Kore これ นี่                          wa は เป็นคำช่วยชี้ประธาน            
   nan หรือ nani 何 อะไร          desu です คือ,เป็น    ka か ตัวบอกคำถาม (หรือ)

    ลุงชี้ไปที่ขี้ แล้วมองต้นไม้
    Ki 木 คือ “ต้นไม้” ครับ

    แสงจ้า แสบตา แกเอามือปิดตาแล้วร้อง
    Me 目 แปลว่า “ตา”

    ป้ายโออิชิสว่างเหมือนดวงอาทิตย์
    Ohisama おひさま โอะ-ฮิ-ซะ-มะ แปลว่า “ดวงอาทิตย์”

    สุกี้มีโลโก้พระจันทร์
    Tsuki 月 ซึ-คิ แปลว่า “พระจันทร์” (ตัวนี้เขียนเหมือนภาษาจีน)

    โปเกมอนสองตัว คือ คุไซฮานะ กับ คิเรฮานะ
    Kusa  คุ-สะ แปลว่า “หญ้า”                      Kusai 臭い คุ-ไซ แปลว่า “เหม็น”
    Kireina 綺麗 คิ-เรย-นะ แปลว่า “สวย”       Hana  ฮา-นะ แปลว่า “ดอกไม้”

    ป้ายโออิชิร้องไห้โฮๆ แล้วแสงก็ลดลง
    Hoshi  โฮ-ชิ แปลว่า “ดวงดาว”

    และสุดท้าย หมาเห่าโฮ่งๆ จนถูกหนังสือขว้าง
    Hon  ฮน แปลว่า “หนังสือ”

    ตกลงทั้งหมด ก็ตั้ง 15 คำ เยอะพอสมควรเลย ก็ค่อยๆ เล่น ค่อยๆ จำ ค่อยๆ ลองเอาไปเล่ากันไป อย่าคิดมากครับ เอาขำๆ จะได้จำได้ ถ้าไม่ถึงขั้นจะต้องจำไปสอบ จำแค่เสียงก็พอแล้วครับ แล้วเดี๋ยวกระผม จะค่อยๆ เพิ่มประโยคเข้าไป และหลักเข้ามาเรื่อยๆ จะได้ลองผสมประโยคเป็น
    การเรียนภาษาไม่ยากอย่างที่คิดนะครับ แค่ต้องรู้ ศัพท์เยอะๆ กับหลักไวยากรณ์ พอเจอประโยคบ่อยๆ ก็จะเริ่มผันเสียงได้เองโดยอัตโนมัติครับ

    แล้วพบกันใหม่คราวหน้าครับผม

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2560

เขากับหล่อน มีอะไรกัน?

    ขอกระโดดสวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่าน กระผมซีโร่ครับ วันนี้จั่วหัวมาเสียเสียวเลย กับหัวข้อ "เขากับหล่อน มีอะไรกัน?"

    เขากับหล่อนไม่ได้มีอะไรกันหรอกครับ เราต่างหากที่จะไปมีอะไรกับเขาและหล่อน (เอ๊ะ! เสียอย่างนั้น)

    เขา ชอบกินแกงกะหรี่ ส่วนหล่อน ชอบเลี้ยงนกเขาหัวจุก แถมนกเขาหัวจุกตัวนี้ยังพูด "คะ" ได้อีกด้วย (แปลกดีนะครับ)
    เขากับหล่อน ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่แล้ว โชคชะตาก็นำพาทั้งสองมาพบกัน

    วันหนึ่ง ณ ใจกลางเมืองกรุงแห่งหนึ่ง เวลาเที่ยง เวลาที่ท้องหิวแสนหิว เขาจึงเดินเข้าไปร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่ง พร้อมกับสั่งทันทีว่า
    "ข้าวราดแกงกะหรี่หนึ่งจาน" โดยที่หารู้ตัวไม่ว่า เขาได้เดินเข้ามาในร้าน ที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว
    ในขณะที่เขานั่งรอไปพลาง เล่นมือถือไปพลางนั่นเอง หล่อนก็เดินเข้ามาในร้าน พร้อมกรงนกหัวจุกของเธอ นกที่เพื่อนๆ เรียกว่า "คะนกจุก" เธอมองไปทั่วร้าน ไม่มีที่นั่งเลย ยกเว้นที่นั่งข้างๆ เขาคนนั้น
    หล่อนจึงเดินเข้าไป และพูดด้วยเสียงอันอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะพูดได้ว่า
    "ขอนั่งด้วย ได้มิเคอะ" เขาซึ่งนั่งอยู่คนเดียว เมื่อได้ยินเสียงอ่อนหวานขนาดน้ำผึ้งยังจืด จึงตอบกลับด้วยเสียงอันแสนจะเก็กหล่อว่า
    "อะเฮื้อออออ ได้เลยยยยยยยย" 
    ทันทีที่สิ้นเสียง หล่อนก็วางกรงนกลงตรงเบื้อหน้าเขา ทัศนวิสัยของเขากับหล่อน ถูกขวางกั้น ด้วยกรงเปื้อนขี้นกสีขาวทันที
    "อะเฮื้อ กลิ่นช่างหอมบัดซบจริงๆ เลย" เขาได้แต่คิดเสียงเก็กหล่อในใจ

    และแล้ว อาหารของเขา ก็มาเสิร์ฟ แต่สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือ
    "ผ่างงงงงงงง" ตามรูป
    "โอ้ว พระเจ้า ซาร่าพาราเซตาโปเกม่อน นี่มันอาหารบรรลัยของพวกชาตินิยมประเภทใดกัน" ขณะที่มีความคิดสบถในใจอันเหยิดยาวนั้น บริกร ก็ได้สะบัดตูด เดินตีปีกหนีไปเสียแล้ว ส่วนหล่อนน่ะหรือ หล่อน.........
    กำลังเอามือแคะขี้นกที่ติดกรงมาแทะเล่น
    "สลัดดดดดด" เขาคิดในใจ แม้จะไม่ได้อยากกินผักสลัดแต่ประการใด ด้วยความขัดใจ จึงเท้าข้อศอกลงโต๊ะอย่างแรง แต่ว่า
    "แก๊ง" ข้อศอกโดนไปที่ปลายช้อนแสตนเลส ส่งผลให้ช้อง ตีลังกา ราวด์ออฟ เหวี่ยงแกงกะหรี่ เข้าไปในกรงนกทันที
    "อีชิหาย" รอบนี้ เสียงแหลมแปร๋นดังชะนีร้องเรียกหาผัว ก็หลุดมาจากปากของเขา
    เขาก็ยืนเงียบสักพัก เพื่อรับกับรังศีสายตาที่ทิ่มแทงมาจากรอบๆ ร้านๆ พร้อมกับทำหน้าฉลาดๆ ก่อนจะรีบเอาศีรษะไปถูกับพื้น ขอโทษขอโพยหล่อนเป็นการใหญ่ ที่ย้อมกรงนก และนกของหล่อน ให้มีสีสันสดสวยงดงาม เหมือนภาพวาด ของเด็กปัญญาอ่อน พร้อมกับรีบเอา กระดาษทิชชู่มาเช็ดที่กรง
    แต่ว่า เช็ดเท่าไรก็เช็ด "ม่ายยยยยยยออก"

    ด้วยการพบกันที่จะทับใจในร้านอาหารนี้ ทั้งเขาและหล่อน จึงได้......
    ไปซื้อสี มาทากรงนก และนกของหล่อน ให้มีสีกลับมาเป็นปกติดังเดิม

    จบเถอะ

    ต่อไป เราก็มาเข้าช่วงสาระกันนะครับ (เล่นขนาดนี้ ยังจะมีสาระเหลืออีกเร้อออออ มีครับ มี)
    ในเรื่องราวโคตรอภิมหากาพย์ มหาบรรลัยนี้ ยังมีสาระแฝงไว้เรื่องภาษาญี่ปุ่น และภาษาจีนอยู่ครับ (ถึงมันจะไม่มากเท่าไรก็เหอะ) เรามาเฉลยที่ละอันดีกว่า

    เขา ชอบกินแกงกะหรี่ครับ ทำไมต้องชอบกินแกงกะหรี่ เพราะว่า
    Kare เป็นคำอ่านของคำว่า "เขา (กรี๊ดดดด ผู้ชายย)" ในภาษาญี่ปุ่นครับ 
    อ่านว่า "คะเระ" (ถ้าเติมอีก็เป็น อีKaree ไม่ใช่ละ เป็นแค่กะหรี่เฉยๆ)

    ต่อมา หล่อน (ใช่ หล่อนนั่นแหละ) หรือเขาผู้หญิง เลี้ยงนกหัวจุก ที่สามารถพูดคำว่า "คะ" ได้
    Kanojo แปลว่า "หล่อน" หรือเขาผู้หญิงครับ เข้าใจนะ "ค่ะนกจุก"
彼 ผู้ชาย 彼女 ผู้หญิง


    แล้วทำไมต้องมาเล่าเสียยืดยาว เอาแกงกะหรี่สีฟ้า เอาสีมาทาต่อไปทำไม เพราะว่า 
    คำว่า "ทา" แปลว่า เขา หรือหล่อน ในภาษาจีนครับ
ผู้ชาย ผู้หญิง


    วันนี้ ก็เอาเพียงสองคำนี้ก่อนละกันนะครับ ค่อยๆ เพิ่ม ค่อยๆ จำ ก็จะจำได้ทุกตัว ถ้าจำมาก อัดมาก ก็ลืมหลายตัวนะเออ
    แล้วพบกันใหม่ครับ